Assassin’s Creed เกมแนวแอ็กชั่นผจญภัยที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2007 และได้รับความนิยมในหมู่แฟนเกมเป็นอย่างมาก การันตีจากยอดขายมากกว่า 140 ล้านชุดทั่วโลก ในครั้งนี้เกม Assassin’s Creed กลับมาอีกครั้งในชื่อว่า ‘Assassin's Creed Shadows’ ซึ่งเนื้อหาหลักภายในเกมนำเสนอเรื่องราวในศตวรรษที่ 16 ของประเทศญี่ปุ่น โดยมีตัวหลักที่ผู้เล่นจะได้รับบทบาทคือ ยาสุเกะ ซามูไรผิวดำที่มีชีวิตอยู่จริงบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และเราจะพาไปรู้จักเขาคนนี้
ประวัติยาสุเกะซามูไรผิวดำแห่งยุคเซ็นโงกุ
เรื่องราวของซามูไรยาสุเกะย้อนเวลากลับไปช่วง ‘ยุคเซ็นโงกุ’ ของประเทศญี่ปุ่น ช่วงเวลาราวๆ ปลายศตวรรษที่ 15 ถึงต้นศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่เต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง และการแก่งแย่งอำนาจระหว่างแคว้น
โธมัส ล็อกลีย์ (Thomas Lockley) ผู้เขียนหนังสือ African Samurai: The True Story of Yasuke, a Legendary Black Warrior in Feudal Japan ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยาสุเกะระบุว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของยาสุเกะยังคงไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่รู้ที่ไปที่มาชัดเจนหรือชื่อจริงของเขา แต่โธมัสเชื่อว่ายาสุเกะมีต้นกำเนิดเป็นชาวแอฟริกาตะวันออกก่อนที่จะเข้ามาในญี่ปุ่น
หนังสือดังกล่าวนำเสนอทฤษฎีการเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเอาไว้ว่า ในวัยเด็กยาสุเกะถูกจับเป็นทาสและถูกค้าผ่านพ่อค้าทาสชาวโปรตุเกส โดยเขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระหลังจากที่เขาได้พบกับ อเลสซานโดร วาลิญาโน (Alessandro Valignano) นักบวชจากนิกายเยสุอิตชาวอิตาลี
หลังจากที่ยาสุเกะได้พบกับวาลิญาโน เขากลายเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวให้กับวาลิญาโนในการเดินทางจากอินเดียมาที่ญี่ปุ่นในปี 1579 ทั้งนี้สาเหตุที่เขาได้กลายมาเป็นผู้คุ้มกันให้กับวาลิญาโน เนื่องจาก สถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นนั้นเต็มไปด้วยสงครามกลางเมืองและการแย่งชิงอำนาจระหว่างแคว้น กอปรกับนักบวชในศาสนาคริสต์จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธติดตัว ทำให้การเดินทางมาที่ประเทศญี่ปุ่น ณ เวลานั้น ค่อนข้างไม่ปลอดภัยและอันตราย ดังนั้นยาสุเกะจึงได้รับการจ้างวานให้มาเป็นผู้คุ้มกัน
ทั้งนี้สาเหตุของสงครามกลางเมืองในยุคเซ็นโงกุ เริ่มต้นมาจากการเสื่อมถอยทางอำนาจของโชกุนจากตระกูลอาชิคางะ โดยโชกุนนั้นเปรียบได้กับผู้ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกองทัพ การที่ส่วนกลางไร้ซึ่งอำนาจ ทำให้แคว้นรอบๆ ที่ถูกปกครองกึ่งอิสระโดยขุนศึก หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไดเมียว ต่างก็ชิงดีชิงเด่นและทำสงครามกันเพื่อขึ้นเป็นโชกุนแทน
หากเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง ไดเมียวเปรียบได้กับเจ้าของที่ดินในระบบฟิวดัล ซึ่งมีอำนาจในการบริหารจัดการและควบคุมกองกำลังภายใต้แคว้นของตน โดยมี ‘ซามูไร’ ทหารผู้ทำหน้าที่เป็นเหมือนอัศวินในการคุ้มกันและปกป้องไดเมียว
อย่างไรก็ตามมีการบันทึกเอาไว้ถึงรูปร่างหน้าตาของยาสุเกะ หลังจากที่เขาได้เดินทางมาที่ญี่ปุ่น โดย มัตสึไดระ อิเอทาดะ (Matsudaira Ietada) หนึ่งในซามูไรในยุคนั้น เอาไว้ว่า “เขาสูงถึง 6 ชากุ 2 ซุง (ประมาณ 6 ฟุต 2 นิ้ว หรือ 1.88 เมตร)” ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกหนึ่งชิ้นที่บ่งชี้ถึงรูปร่างของยาสุเกะซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนรู้เรื่องราวของยาสุเกะสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน
หลังจากเดินทางมาที่ญี่ปุ่นแล้ว วาลิญาโนและยาสุเกะได้เดินทางมาถึงเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่อยู่ภายใต้การปกครองของไดเมียว โอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) ไดเมียวผู้ที่มีอำนาจการปกครองมากที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ณ เวลานั้น โนบุนางะมีอำนาจมากขนาดที่สามารถรวมดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ที่แยกจากกันให้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาได้ โดยพื้นที่และดินแดนต่างๆ ที่ขึ้นตรงกับโนบุนางะนั้นมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ
ทั้งนี้พงศาวดารของโนบุนางะเล่มหนึ่งระบุเอาไว้ว่า หลังจากที่โนบุนางะได้พบกับยาสุเกะครั้งแรก โนบุนางะก็ถูกใจและชื่นชอบในตัวยาสุเกะเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของสีผิว ความกำยำล่ำสัน พละกำลังที่มากล้น หรือแม้แต่การวางตัวที่ดีของยาสุเกะถึงขนาดทำให้โนบุนางะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับยาสุเกะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันและจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แก่ยาสุเกะเลยทีเดียว
ถัดมาในปี 1851 โนบุนางะจ้างนักรับเข้ากองทัพตัวเองนับพันคนเพื่อเตรียมพร้อมทำศึกสงครามกับแคว้นรอบๆ แน่นอนว่ายาสุเกะคือหนึ่งในนั้น ทำให้ยาสุเกะกลายเป็นซามูไรชาวแอฟริกันและชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เอเชียคนแรกของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยความรักใคร่เอ็นดูในซามูไรผิวดำคนนี้ทำให้ยาสุเกะได้รับดาบคาตานะ ยศถาบรรดาศักดิ์ และตำแหน่งหน้าที่สำคัญมากมายในกองทัพ นับเป็นเวลาไม่นานหลังจากได้เข้ารับราชาการ
สำหรับยาสุเกะเขาได้เลื่อนตำแหน่งกลายเป็นหนึ่งในทหารผู้ติดตามใกล้ชิดของโนบุนางะ ซึ่งมีจำนวนแค่ 30-50 คน เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ล็อกลีย์ได้ระบุเอาไว้ในหนังสือของตนเองไว้ว่า ทหารเหล่านี้อาจเป็นมากกว่าทหารคนสนิทของโนบุนางะ แต่เป็นกลุ่มทหารที่โนบุนางะรักใคร่ชอบพอมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามบทบาทของยาสุเกะในฐานะซามูไรค่อนข้างสั้น โดยในวันที่ 21 มิถุนายน 1582 โนบุนางะได้เดินทางจากปราสาทอาซูจิมาที่วัดฮอนโนเพื่อทำพิธีชงชา เป็นเหตุให้เขาจำต้องทิ้งกำลังพลเอาไว้ที่ปราสาท และนำทหารติดตามมาเพียง 30 คนเท่านั้น มิตสึฮิเดะ อาเคจิ (Mitsuhide Akechi) ผู้ที่ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ จึงได้ทำการก่อกบฏและลุกขึ้นต่อต้านอำนาจของโนบุนางะ โดยมิตสึฮิเดะได้ยกกองกำลังมากกว่า 13,000 คนมาล้อมรอบวัดฮอนโนเอาไว้ ขณะที่โนบุนางะมีกำลังพลอยู่กับตัวเพียงแค่ 30 คนเท่านั้น และยาสุเกะคือหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งเหตุการณ์กบฏในครั้งนี้ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยชื่อ ‘กบฏที่วัดฮอนโน’
แน่นอนว่าด้วยจำนวนคนที่แตกต่างกันมากถึง 13,000 ต่อ 30 ทำให้ทหารที่มีเพียงน้อยนิดของโนบุนางะถูกกำจัดเกือบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เองโนบุนางะจึงได้ทำพิธีปลิดชีพตัวเองด้วยการคว้านท้องหรือที่เรียกว่าเซ็ปปูกุ (seppuku) และได้ให้ รันมารุ โมริ (Ranmaru Mori) ผู้ติดตามคนสนิทฟันคอเขาให้ขาด ต่อมารันมารุก็ได้คว้านท้องเฉกเช่นเดียวกันกับโนบุนางะโดยขอให้ยาสุเกะทำการฟันคอของเขา แบบเดียวกับที่เขาทำกับโนบุนางะ ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวของทั้งคู่เป็นไปเพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีตามแนวคิดของนักรบญี่ปุ่น
หลังจากนั้นยาสุเกะจึงได้นำหัวของทั้งคู่หนีออกมานอกปราสาท โดยมิตสึฮิเดะได้ไว้ชีวิตของยาสุเกะเอาไว้ โดยคาดหวังที่จะได้รับการสนับสนุนกำลังพลจากบรรดาพระในคณะเยสุอิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครทราบถึงชะตากรรมของยาสุเกะหลังจากเหตุการณ์กบฏที่วัดฮอนโนอีกเลย ในส่วนของมิตสึฮิเดะเองก็กำชัยชนะเหนือโนบุนางะได้เพียงแค่สองวัน และได้ถูก ฮิเดโยชิ โทโยโทมิ (Hideyoshi Toyotomi) หนึ่งในพันธมิตรที่หลงเหลือของโนบุนางะ จัดการลงในท้ายที่สุด โดยเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า ‘ยุทธการยามาซากิ’ และในท้ายที่สุดฮิโดโยชิก็ได้กลายเป็นผู้รวบรวมแว่นแคว้นให้อยู่ภายใต้การปกครองเขาในเวลาต่อมา
แม้บทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ของยาสุเกะจะสิ้นสุดลงไปเป็นเวลากว่าหลายร้อยปีแล้ว ทว่าบทบาทของเขาในฐานะตัวละครสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยังคงโลดแล่นเรื่อยมาในโลกสมัยใหม่ อย่างเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา Netflix ได้เผยแพร่ ‘Yasuke’ อะนิเมะที่ว่าด้วยเรื่องราวของยาสุเกะในช่วง 20 ปีหลังจากเหตุการณ์กบฏวัดฮอนโน แม้อะนิเมะดังกล่าวจะไม่ได้นำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมด ทว่ากลับทำให้ผู้คนได้รู้จักซามูไรชาวแอฟริกาคนนี้มากขึ้น
นั่นรวมไปถึงตัวละครยาสุเกะในเกม Assassin’s Creed Shadows ที่เราจะได้รับบทบาทในการเล่นเกมภาคใหม่นี้ด้วยเช่นกัน นับเป็นอีกครั้งที่ยาสุเกะได้กลับมามีชีวิตในปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นชีวิตผ่านตัวเกมก็ตาม แต่นั่นก็จุดกระแสให้ผู้คนได้ค้นหาข้อมูลและทำความรู้จักกับซามูไรผิวดำผู้นี้มากขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง