ทางการมาลาวี รายงานในวันพุธว่า พายุไซโคลน “เฟรดดี” ที่พัดขึ้นฝั่งในภาคใต้ของมาลาวีเมื่อวันจันทร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 225 ราย ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เสียชีวิตจากดินถล่มในเมืองแบลนไทร์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยอีกราว 88,000 คน
ฝนที่ตกหนักทำให้กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากไปตามบ้านเมืองทำให้บ้านเรือนหลายพันหลังถูกน้ำท่วมและได้รับความเสียหาย และต้นไม้หักโค่น หน่วยค้นหากู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต และทยอยลำเลียงศพออกจากพื้นที่ประสบภัย ท่ามกลางความวิตกว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอาจพุ่งสูงขึ้นอีก
ส่วนโมซัมบิกเผชิญพายุไซโคลน “เฟรดดี” พัดขึ้นฝั่งเป็นรอบที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ หลังจากพายุขึ้นฝั่งรอบแรกเมื่อปลายเดือนก.พ. และพายุทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย
พายุ “เฟรดดี” เริ่มก่อตัวนอกชายฝั่งของออสเตรเลียเมื่อวันที่ 6 ก.พ. และและเคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรอินเดียตอนใต้เป็นระยะทางกว่า 8,000 กม. กว่าจะขึ้นฝั่งที่มาดากัสการ์และโมซัมบิกในช่วงปลายเดือนก.พ. และเคลื่อนตัววกกลับไปขึ้นฝั่งโมซัมบิกอีกใน 2 สัปดาห์ต่อมา แล้วขึ้นฝั่งที่มาลาวี พายลูกนี้เป็นพายุที่เคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรอินเดียตอนใต้จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกในรอบ 20 ปี โดยที่ผ่านมามีพายุเพียง 4 ลูกที่เคลื่อนตัวในเส้นทางนี้
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุว่า พายุ “เฟรดดี” ยังอาจทำลายสถิติเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่มีอายุยาวนานที่สุด โดยพายุเคลื่อนตัวยาวนานเกินกว่าสถิติปัจจุบันของพายุเฮอร์ริเคนจอห์น ที่มีอายุ 31 วันในปี 2537 แต่ยังต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ เช่น พายุอ่อนกำลังลงต่ำกว่าระดับไซโคลนในช่วงใดหรือไม่
นอกจากนี้พายุ “เฟรดดี” ยังอาจสร้างสถิติทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วหลายรอบมากที่สุดด้วย ซึ่งหมายถึง พายุมีความเร็วลมเพิ่มสูงขึ้นเกิน 80 กม./ชม. ภายในเวลา 24 ชม. โดยขณะนี้พบว่า พายุ “เฟรดดี” ทวีความรุนแรงในระดับดังกล่าวถึง 7 ครั้ง เมื่อเทียบกับสถิติเดิมที่พายุเฮอร์ริเคนหลายลูกทวีความรุนแรงรวดเร็ว 4 ครั้ง