รายการคมชัดลึก โดย วราวิทย์ ฉิมมณี พิธีกรในรายการ สัมภาษณ์แขกรับเชิญ รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร
อดีตกรรมการการเลือกตั้ง และ รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในประเด็น อ่านเกม ทักษิณ ดัน อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย สู่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
วราวิทย์ ถามถึง "กรณีพี่น้องสามป.จะจับมือกับลูกสาวทักษิณและพรรคเพื่อไทยอย่างไร เพราะทางอนุทินก็ยอมรับเลยว่าแพทองธาร สามารถเป็นนายกหญิงได้แน่นอน แล้วก็ไม่ได้ปิดโอกาสในการจะร่วมงานกันในอนาคตด้วยกัน แบบนี้พลังประชารัฐฟังแล้วขนลุก จำเป็นที่ 3 ป. ต้องผนึกกำลังตัวเองให้แน่นหนาหรือไม่
รศ.สมชัย ตอบว่า "ถามว่า 3 ป. ควรจะทำอะไร ผมแนะนำดีที่สุดครับกลับบ้าน เพราะทุกอย่างสายไปหมดแล้ว ผมพูดประโยคนี้นะครับพลาดตั้งแต่ตรงไหน พลาดตั้งแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเป็นบัตร 2 ใบ คุณไปเชื่อใครว่าการแก้เป็นบัตร 2 ใบนั้น คุณจะเกิดความได้เปรียบ ทุกคนพูดประโยคเดียวกันครับว่าการแก้บัตรใบเดียวเป็น 2 ใบนั้น แล้วก็ยังรักกันแบบคู่ขนานได้เขตแล้วยังมากินบัญชีรายชื่ออีก
เพื่อไทยได้เปรียบสุดๆนี่คืออย่างที่หนึ่ง แล้วคุณก็เดินตามเกมแบบนี้พลาดไปแล้วก็ไม่รู้จักสำนึก
อย่างที่สองคือในพรรคของคุณแทนที่จะสามัคคีกันร่วมมือร่วมแรงกัน คุณก็ไปเอาความคิดความแค้นต่างๆและปลดออกจากการเป็นรัฐมนตรีไม่พอ บีบจนเขาต้องออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่ แล้วก็ยังปลอบใจตัวเองไปวันๆบอกว่ายังไงเขายังอยู่รัฐบาลอยู่ ทั้งๆที่คนที่ออกไปเขาบอกว่าเห็นผมเป็นอากาศเนี่ย เดี๋ยววันหนึ่งจะรู้สึกว่าขาดอากาศแล้วจะเป็นอย่างไร
สิ่งต่างๆเหล่านี้มันเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปแข่งขันกับใครอีกแล้ว ถ้ามีเลือกตั้งยังไงคุณต้องยอมรับสภาพของความพ่ายแพ้
"ดังนั้นการที่จะเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ ก็คือกลับบ้านก่อนดีที่สุด นี่คือผมก็แนะนำในสิ่งซึ่งเป็นกุศลที่สุดและถ้าอยากอยู่เนี่ยตอนนี้เพียงแค่ประคองไปวันๆหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นการคิดแผนล่วงหน้าไปด้วยซ้ำนะครับ" สมชัย กล่าว
-วราวิทย์ สอบถามมุมมองความเห็นว่า อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่ แค่คิดว่าพฤษภาคมจะรอดไหม ขณะที่เดือน สิงหาคมปมวครบ 8 ปีจะเอายังไงเสร็จแล้วเดี๋ยวจะได้ถึง APEC หรือไม่ได้ถึง APEC นี้เป็นต้น
"สมชัย" กล่าวว่า ขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้เป็นฝ่ายที่คิดไปข้างหน้าว่าจะวางแผนสู้รบเป็นอย่างไร คิดเพียงแต่ว่าจะป้องกันรักษาเมืองอย่างไรแค่นั้น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนแค่นั้นเอง จะทำยังไงกับพรรคเล็กๆซึ่งเขากินโต๊ะทุกครั้งเชิญเข้ามาก็กิน แต่พอเขากินเสร็จก็บอกว่ายังไม่แน่เวลาโหวตเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง คือหลอกกินฟรีไปเรื่อยๆ แล้วก็จัดการหน้าต่างสิ่งเหล่านี้อย่างไร
ดังนั้นเรื่องของการที่จะไปมองในเชิงของกลยุทธ์ยุทธศาสตร์ว่าจะพลิกแพลงต่างๆอะไรยังไงเนี่ย มันเป็นเรื่องของโชคชะตาภายหน้าแล้ว และยิ่งการแตกพรรคไม่รู้กี่พรรค เป็นพรรคที่สำรองผมจำชื่อเค้าไม่ได้ ซึ่งจะมีหลายต่อหลายพรรคซึ่งยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นการที่เดินแผนอย่างมีจังหวะจะโคนที่ถูกต้อง เป็นการเดินแบบสะเปะสะปะที่สุด เพราะที่คุณตั้งพรรคใหม่และมันก็ยิ่งเป็นเรื่องการที่คุณจะต้องไปสร้างกระแสความนิยม คุณก็มีสตาร์เป็นพรรคเล็กแทนที่คุณจะสร้างความมั่นคงให้กับพรรคใหญ่ของคุณ ให้เป็นภาพที่สู้กันกับทางเพื่อไทยให้ได้ในศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
คุณกลายเป็นการแตกพรรคเล็กต่างๆออกมา ยุทธศาสตร์การแตกพรรคเล็กนั้นมันต้องใช้บัตรใบเดียวไม่ใช่บัตร 2 ใบ ไม่ทราบใครเป็นคนวางแผนให้ ผมถึงบอกว่าวันนี้คุณไม่ได้อยู่ในสภาพของการที่พร้อมจะแข่งขัน คุณอยู่ในสภาพที่ประคองตัวเองไปและต้องรอรับการพ่ายแพ้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซะมากกว่านะครับ
-เมื่อวราวิทย์ ถามถึง กรณีแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯคงจะไม่ง่าย พร้อมแล้วหรือยัง
"รศ.สมชัย" ตอบว่า : ถ้าถอดบทเรียนจากครอบครัวชินวัตรมันก็ไม่ง่ายบทเส้นทางการเมืองของคนในตระกูลชินวัตร
การที่เอา"คุณอุ๊งอิ๊ง"มาอย่างที่เราบอกไว้ครับว่า 1.คือการเชื่อมโยงถึงคุณทักษิณ 2.คือการแย่งกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ผมอยากจะวิเคราะห์คำว่าเรื่องการเชื่อมโยงคุณทักษิณเป็นไปได้จริงถูกต้อง เพราะว่านามสกุลเดียวกันลูกสาวเชื้อสายโดยตรงคนเชื่อมโยงถึงกันได้ ได้ใจจากคนกลุ่มนี้ที่เชื่อมโยงถึงกัน การเปลี่ยนเป็นสีแดงพรรคเพื่อไทยก็ต้องการเอาใจคนเสื้อแดง ก็คือกลุ่มคนกลุ่มเดิมที่มีอยู่ แต่การที่จะให้ได้ใจจากคนรุ่นใหม่เข้ามาคนเดียวไม่พอ คือคุณต้องมาเป็นทีมคุณจะต้องมีคนมากกว่านี้ แล้วก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เข้ามามีบทบาททางการเมืองภายในพรรคอย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น คุณยอมไหมส.ส.เขต ไม่เอา ส.ส.เก่าๆลงแล้วคนรุ่นใหม่ลง ไม่เหมือนก้าวไกลเขาไม่ได้สนใจส.ส.เก่าเลย เขาดูเพียงแต่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนรุ่นใหม่ความคิดใหม่ๆเอาเข้ามาเป็นผู้สมัครได้ ถ้าเป็นแบบนี้จะได้ใจจากคนรุ่นใหม่ หรือมีไหมการที่ว่านโยบายซึ่งเป็นความต้องการ สำรวจความต้องการเพื่อไทยเองหรือไทยรักไทยในอดีตประสบความสำเร็จในการทำนโยบาย ก็คือการที่ไปถามประชาชนว่าประชาชนเดือดร้อนอย่างไรและเสนอแนวคิดตอบโจทย์ประชาชน
"วันนี้ คือโจทย์ที่ยากขึ้นถามคนรุ่นใหม่ไหมว่าคนรุ่นใหม่ต้องการอะไร ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรยังไงบ้าง ต้องการโอกาสในชีวิตอย่างไรบ้าง ต้องการไม่ถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์กติกาต่างๆกรอบต่างๆอย่างไรบ้าง ถ้าถามแล้วไปใช้อย่างนี้จะได้คะแนน แต่ว่าส่งมาเพียงแค่คนเดียวไม่เพียงพอก็จะไม่เกิดความสำเร็จอันนี้คือส่วนที่ผมวิเคราะห์"
แล้วสมมติถึงจุดๆหนึ่งซึ่งเขาประสบความสำเร็จแล้ว ว่าได้คะแนนมาระดับนึงมีพันธมิตรเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ มันเป็นจังหวะที่ถึงหรือยังที่จะให้"คุณอุ๊งอิ๊ง"ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ถ้าถามผมวันนี้จะบอกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องซึ่งสร้างได้ภายในเวลาสั้นๆ คือเรามีบทเรียนของคุณยิ่งลักษณ์แล้วว่า 49 วันเป็นนายก คือการขึ้นได้แน่นอนคุณมีเสียงในสภาเพียงพอและคุณมีคนสนับสนุนเพียงพอคุณขึ้นเป็นนายกได้ แต่การอยู่เป็นนายกเนี่ยยากกว่า
บทเรียนของ"คุณยิ่งลักษณ์"ก็ถือว่าขึ้นเป็นนายกได้ 49 วันแต่อยู่เป็นนายกหายาก เพราะไม่ได้เรียนมาก่อนผมเรียกว่าไม่ได้เรียนทางการเมืองมาก่อน คือไม่ได้รู้ถึงกลไกทางการเมืองต่างๆมาก่อน ไม่รู้ถึงปัญหาในการบริหารแผนต่างๆมามากเพียงพอ ไม่ได้อยู่ในเส้นทางการเมืองซึ่งจะทำให้มีประสบการณ์เพียงพอที่จะเข้าใจฝ่ายต่างๆกลไกต่างๆในบ้านเมือง
"คุณอุ๊งอิ๊ง" ผมก็คิดว่าถ้าในจังหวะเวลาสั้นๆ 1 ปี 2 ปีแบบนี้ก็ยังเป็นเรื่องซึ่งยังสั้นเกินไป ดังนั้นการเก็บ"คุณอุ๊งอิ๊ง"ไว้แล้วก็ให้เธอค่อยๆเรียนรู้น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ยกเว้นใจเร็วมาถึงขนาดนี้แล้วก็หนุนกันขึ้นไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้จริงผลท้ายที่สุดก็จะเดินซ้ำรอยกับความผิดพลาดในอดีต
นั่นคือ เมื่อคนนั่งหัวโต๊ะเป็นคนซึ่งอาจจะไม่เข้าใจบริบททางการเมืองต่างๆทั้งหมด ไม่เข้าใจบริบทเกี่ยวกับการบริหารงานแผ่นดินทั้งหมด การที่คุณจะนั่งหัวโต๊ะและทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศ ก็ไม่ใช่เรื่องซึ่งจะทำให้เกิดความสำเร็จ และท้ายสุดก็จะกลายเป็นอะไรที่โดนกระแสโดยการโจมตีโดนสิ่งที่เข้ามาอยู่ใกล้ชิดคุณและทำให้คุณกลายเป็นฝ่ายที่เสียหายไป
-วราวิทย์ถามย้ำว่า : อาจารย์สมชัยกำลังจะบอกว่า ถ้าดูบทเรียนจากคุณยิ่งลักษณ์ไม่มีประสบการณ์ในทางการเมือง อยู่บนเส้นทางธุรกิจแล้วเข้ามาก็เผชิญกับชะตากรรมอย่างที่เห็น แต่ผมถามอย่างนี้ว่าถ้า"คุณอุ๊งอิ๊ง"ดูบทเรียนจากคุณพ่อล่ะ คุณพ่อก็อยู่การเมืองมาตั้งเท่าไหร่กว่าจะขึ้นเป็นนายกใช่ไหมครับ รู้เช่นเห็นชาติทุกอย่างก็ไม่เห็นต่างกันเลยชะตากรรมในทางการเมืองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
รศ.สมชัย ตอบว่า อยู่ได้เพียงแต่ว่าอาจจะในจังหวะเวลาดังกล่าวนั้นท่านเองอาจจะคล้ายๆว่ามีความมุ่งมั่นตั้งใจทางการเมือง ให้เกิดการเปลี่ยนและอย่างที่เร็วเกินไปสักนิดนึง ก็เลยทำให้เหมือนกับว่าเป็นปัญหา ซึ่งถ้ามองคือในเชิงของเจตนาทางการเมือง ผมถือว่าคนๆนี้มีเจตนาการเมืองซึ่งรุนแรงเอาจริงเอาจัง แต่ว่าถ้าในเชิงของการที่คนใกล้ชิดอย่างเช่นคุณพ่อคุณแม่ ที่จะเป็นคนซึ่งให้คำปรึกษาในการที่ว่าถึงเวลาของลูกแล้วหรือยัง ถ้าผมเป็นคนที่รักเหมือนกับมองสิ่งซึ่งให้เกิดผลดีที่สุดต่อคนที่เป็นลูกของเรา ผมยังคิดว่าผมจะรีเสิร์ฟเขาไว้ก่อน จะสงวนเขาไว้ก่อนอาจจะขอให้เขาไปช้ากว่านี้นิดนึง การไปเร็วเกินไปไม่ได้ก่อให้เกิดเป็นผลดี แต่การที่อาจจะช้าสักนิด อาจจะเป็นการค่อยๆหล่อหลอมเขาให้เกิดการเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจ ให้เกิดความสามารถที่จะจัดการกับกลไกต่างๆทางการเมือง
-เมื่อวราวิทย์ถามถึง การอ่านเกมทักษิณ ดัน “อุ๊งอิ๊ง” สู่แคนดิเดตนายกฯ
รศ.สมชัย : คือถ้าจับจังหวะของการเปิดตัวเหมือนกับการสร้างบันไดที่จะให้เดินขึ้นไป ซึ่งถ้าหากว่าเปิดแบบนี้และมีบันไดขึ้นไปแบบนี้แล้ว พอถึงเวลาก็ถอยลงมาก็ดูประหลาดดังนั้นก็ต้องส่งต่อ การส่งต่อคือการส่งต่อในทันทีที่เป็นหนึ่งในแคนดิเดตของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนเดียว เพราะจริงๆแล้ว ตามรัฐธรรมนูญบอกว่าสามารถใส่ได้ถึง 3 คน ก็เป็นไปได้ที่ 1 ใน 3 คนนั้น เพราะว่าอย่างที่หนึ่งการเชื่อมโยงในฐานะที่"คุณอุ๊งอิ๊ง"เอง เป็นบุตรสาวของคุณทักษิณก็เป็นการเชื่อมโยงให้เห็น เพื่อจะได้ฐานคะแนนเสียงจากกลุ่มคนเหล่านี้ที่ยังนิยมคุณทักษิณอยู่
อย่างที่สองมองว่าตัว"คุณอุ๊งอิ๊ง" จะเป็นเหมือนกับการเติมเต็มในส่วนที่เป็นช่องว่างทางการตลาด ความหมายคือเพื่อไทยเท่าที่ดูขนาดนี้อาวุโสหมด เป็นนักการเมืองรุ่นเก่าเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหรอกที่จะเป็นเด็กจะเป็นวัยรุ่นหรือเป็นคนที่เพิ่งเข้าสู่การเมือง เพราะฉะนั้นการที่เปิดตัว"คุณอุ๊งอิ๊ง"ก็จะเป็นจุดเชื่อมจุดหนึ่งว่า อย่างดีที่สุดจะไปดึงฐานคะแนนเสียงจากฝั่งที่เรียกว่าผู้ที่มีสิทธิ์ออกเสียงใหม่หรืออาจจะเป็นคนที่เพิ่งเริ่มเข้าทำงาน หรืออาจจะเป็นคนในกลุ่มอายุเดียวกัน ซึ่งอันนี้ก็คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลมีความได้เปรียบอยู่ เพื่อไทยก็ต้องมุ่งหวังว่าเปิดตรงนี้ขึ้นมาแล้วจะทำให้สามารถได้คะแนนเสียงจากกลุ่มคนกลุ่มนี้เข้าไปก็เป็นประโยชน์ 2 ทาง ที่ผมวิเคราะห์เป็นแบบนี้
รศ.ดร.โอฬาร : การตลาดการเมืองคือต้องหาลูกค้าเยอะๆ การหาลูกค้าเยอะต้องมีเมนูเยอะๆสำหรับตอบรับกับลูกค้าที่หลากหลาย อย่างเช่น คนรุ่นใหม่อาจจะนิยมชมชอบแนวทางนี้ในขณะที่คนรุ่นกลางคนรุ่นใหญ่ ต้องการนักบริหารและอาจจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ยึดโยงกับแนวคิดที่ผูกติดกับเรื่องอนุรักษ์นิยม ที่ผมคิดว่าจำเป็นจะต้องมีหลายช่องทางเพื่อที่จะตอบโจทย์กับลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งเป็นวิธีการที่ผมคิดว่าคุณทักษิณใช้มาตลอดในยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือทำทุกเมนูเหมือนกับเราดูก่อนหน้านั้นถ้าเราดูจากกรณีการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เรามีไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทยก็พยายามทำหลายๆเมนู มีปาร์ตี้ลิสต์กับมีเขตถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองก็จะสามารถมีส.ส.ได้จำนวนมาก ก็คือเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ คือถ้ามองไปในแง่ของความเป็นคนแคนดิเดตของคุณอุ๊งอิ๊ง
แต่สำหรับผมอาจจะมองต่างจากอาจารย์สมชัยว่านอกจากเรื่องแคนดิเดตแล้ว ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือพรรคเพื่อไทยที่จำเป็นจะต้องเปิดคุณอุ๊งอิ๊ง ขึ้นมา ก็คือกระแสของพรรคเพื่อไทยในระยะหลังผมคิดว่าตั้งแต่การเปิดตัวหัวหน้าพรรคไม่ว้าวมันไม่แลนด์สไลด์ ก็คือนายแพทย์ชลน่านเป็นคนเก่งคนมีความสามารถแต่รู้สึกว่าความที่จะเป็นเสาหลัก การที่จะเป็นจิตวิญญาณของพรรคไม่เท่ากับคนในตระกูลชินวัตร ปรากฏการณ์เหล่านี้เราเห็นตั้งแต่หน้าก่อนหน้านี้ที่มีข่าวหลุดที่มีแกนนำพรรคขอร้องถามว่าตกลงจะเป็นคุณหญิงหรือเปล่า
ล่าสุดมีความบังเอิญไปถึงที่สิงคโปร์ เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า นักเลือกตั้งประจำจังหวัดของเพื่อไทยยังโหยหาจิตวิญญาณของพรรค ที่หัวหน้าพรรคที่เป็นทางการและกรรมการบริหารพรรคยังไม่สามารถตอบโจทย์เขา คุณอุ๊งอิ๊งจึงต้องหาต้องเปิดไพ่คุณอุ๊งอิ๊งขึ้นมาเพื่อเป็นหัวหน้าครอบครัว แสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่มีหัวหน้าครอบครัวใช่ไหม มีหัวหน้าพรรคมีกรรมการบริหารพรรคแต่ไม่มีหัวหน้าครอบครัวในฐานะจิตวิญญาณของพรรค
ผมมองว่าตรงนี้ที่คุณทักษิณต้องการที่จะทำเพื่อว่า ในกระแสที่แนวโน้มองคาพยพทางการเมือง ไม่ว่าจะดีจะชอบมีแนวโน้มที่จะโน้มเอียงไปเข้าข้างกลุ่มอำนาจเก่า และมีกระแสข่าวจำนวนมากที่ส.ส.อาจจะไหลไปสู่พรรคการเมืองที่พร้อมจะรับดูด ซึ่งอันนี้คิดว่ามันทำให้คุณทักษิณต้องออกมาผ่านคุณอุ๊งอิ๊ง เพื่อให้เห็นว่าเขายังเป็นจิตวิญญาณของพรรค ยังสามารถที่จะช่วยเหลือดูแลหรือว่า support ของพรรคให้เป็นศูนย์กลางให้เป็นเหมือนกับจิตวิญญาณของพรรค คือประสบการณ์ที่ผ่านมาจากคนในครอบครัวชินวัตรเรียกว่าเขาก็โดนแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งครอบครัว
แล้วก็อย่าลืมในความสัมพันธ์ระหว่างคุณทักษิณกับลูกสาวคนเล็ก ก็ดูท่านให้ความรักมากแต่รู้สึกว่าคนนี้มีความมุ่งมั่นอะไรหลายอย่าง ซึ่งผมคิดว่าท่านต้องคิดบทเรียนของท่าน ผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด ต้องประเมิน ถ้าเดาใจก็คงจะไม่ให้ลูกเข้าสู่การเมืองในฐานะที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ เวลานี้ คือเป็นแคนดิเดตได้แต่ฐานะทางการเมืองผมคิดว่าท่านคงจะเอาบทเรียนของท่าน แต่ถ้าจะให้โลดแล่นทางการเมืองเพื่อที่จะดึงคะแนนนิยมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึงคะแนนนิยมสร้างหลักประกันทางการเมืองหรือสร้างทางจิตวิทยาทางการเมืองของคนที่นิยมชมชอบคุณอุ๊งอิ๊งนะครับ มีความเป็นไปได้