
แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากประชาคมโลกว่ามีความบริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน หรือจะเป็นเพียง “พิธีกรรมประชาธิปไตย” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้มิน อ่อง หล่าย สามารถสืบทอดอำนาจได้ต่อไป เพราะพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของนางซูจีก็ถูกยุบไปแล้ว จนสมาชิกพรรคหลายคนตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศ ขณะที่บางส่วนถูกจับกุมคุมขัง
🔵[เลือกตั้งเป็นเฟส]
การเลือกตั้งของเมียนมาไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกันและไม่สามารถจัดได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ เนื่องจากในทางปฏิบัติกองทัพสามารถควบคุมพื้นที่ได้เพียง 20-30% เท่านั้น ดังนั้นจึงมีการแบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3 เฟส เฟสแรกเริ่มวันนี้ (28 ธันวาคม) ครอบคลุมกรุงเนปีดอและอีก 101 เมือง ซึ่งถูกมองว่าเป็นฐานที่มั่นของกองทัพ ตามมาด้วยเฟสที่ 2 อีก 100 เมืองในวันที่ 11 มกราคม ขณะที่เฟสที่ 3 ยังไม่กำหนดวันชัดเจนแต่อาจเกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม
อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่อีกถึง 56 เมืองในรัฐยะไข่ ชิน สะกาย ตอนบนของรัฐฉาน และคะฉิ่น ที่รัฐบาลทหารเมียนมายืนยันว่าไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เนื่องจากเป็นเขตของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์และยังคงมีการสู้รบเกิดขึ้น แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจจัดเลือกตั้งซ่อมให้ภายหลัง
🔵[ทั้งจับ...ทั้งปล่อย]
แม้ช่วงเดือนที่ผ่านมาจะมีความพยายามผ่อนคลายแรงกดดันด้วยการปล่อยตัวนักโทษการเมืองกว่า 3,200 คนจากเรือนจำอินเส่งในนครย่างกุ้ง รวมถึงอู จ่อ โต ผู้ช่วยคนสำคัญของซูจี โดยอ้างว่าเพื่อให้คนเหล่านี้สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ แต่ในขณะเดียวกันคนที่ยังคงไม่ได้รับอิสรภาพก็ยังเหลืออีกกว่า 22,000 คน และหนึ่งในนั้นก็คือตัวของนางซูจีเองที่อยู่ระหว่างรับโทษจำคุกรวม 27 ปี ในหลายข้อหา เช่น ยุยงปลุกปั่น ทุจริต และโกงการเลือกตั้ง
สัปดาห์ที่แล้วคิม อาริส ลูกชายของซูจีออกมาเปิดเผยผ่านสื่อว่าไม่ได้ข่าวคราวโดยตรงจากผู้เป็นแม่วัย 80 ปี มานานกว่า 2 ปีแล้ว เขาเลยกังวลว่าแม่อาจเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ แต่รัฐบาลเมียนมารีบออกมาตอบโต้ว่า ซูจีมีสุขภาพดี แต่ก็ไม่ได้แสดงหลักฐานอย่างเช่นรูปถ่ายแต่อย่างใด พร้อมกล่าวหาลูกชายซูจีว่าพยายามขัดขวางการเลือกตั้ง นอกจากนี้ทางการเมียนมายังเตรียมดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งมากกว่า 220 คน โดยกล่าวหาว่าคนกลุ่มนี้พยายามทำลายกระบวนการเลือกตั้ง
🔵[รณรงค์ด้วย “คำขู่”]
ยิ่งมีผู้ออกไปใช้สิทธิมากเท่าไหร่ ผลที่ออกมาย่อมสามารถนำไปอ้างความชอบธรรมได้มากเท่านั้น แต่เมื่อการรณรงค์ด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล มิน อ่อง หล่าย จึงออกโรงเตือนประชาชนในระหว่างการลงพื้นที่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การไม่ไปใช้สิทธิเท่ากับเป็นการ “ปฏิเสธความก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตย” ขณะที่ก่อนหน้านี้เขาเคยถึงขั้นขอตรงๆ จากบรรดาข้าราชการให้เลือกนักการเมืองที่สนับสนุนกองทัพ
คำขู่ของมิน อ่อง หล่าย ส่งผลให้ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้เมียนมาหยุดใช้ความรุนแรงบังคับให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียง และหยุดจับกุมประชาชนที่เห็นต่าง พร้อมเตือนว่าพลเรือนกำลังถูกคุกคามจากทั้งทหารและกลุ่มติดอาวุธ ขณะที่ก่อนหน้านี้ทางยูเอ็นเคยออกมาแสดงความกังวลว่า เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีเฝ้าระวังด้วยเอไอ อาจทำให้ทางการสามารถระบุตัวตนผู้ที่ไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนกองทัพได้
.
🔵[ไม่สนตะวันตก! จีน-รัสเซียอุ้ม]
รัฐบาลทหารเมียนมาทราบดีว่าโลกตะวันตกไม่มีทางให้การยอมรับการเลือกตั้ง เราจึงได้เห็นโฆษกรัฐบาลออกมาประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเมียนมา ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อประชาคมระหว่างประเทศ เพราะตราบใดที่มหาอำนาจอีกซีก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และรัสเซียยังคงโอเค มิน อ่อง หล่าย ก็ยังมั่นใจว่าอยู่รอด โดยตลอดปีที่ผ่านมา เขาได้กระทบไหล่และจับมือกับทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง, วลาดิมีร์ ปูติน, และนายกฯ นเรนทรา โมดี มาแล้ว
.
ที่สำคัญสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้ใส่ใจในเรื่องสิทธิมนุษยชนไปมากกว่าการปราบปรามผู้อพยพในประเทศ เมียนมาจึงกลายเป็นหนึ่งในรายชื่อที่รัฐบาลทรัมป์ถอด “สถานะคุ้มครองชั่วคราว” เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งหมายความว่า ชาวเมียนมา 4,000 คนในสหรัฐฯ จะต้องถูกผลักดันกลับบ้านเกิดที่ตัวเองลี้ภัยมา แถมยังถูกรัฐบาลทหารเมียนมานำไปอ้างว่าสหรัฐฯ ให้การยอมรับพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ
.
🔵[ชัยชนะแบบนอนมา]
แทบทุกฝ่ายฟันธงกันตั้งแต่ไก่โห่ว่าพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP ที่กองทัพหนุนหลังและส่งผู้สมัครมากที่สุดในบรรดา 57 พรรค จะสามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างถล่มทลาย แถมรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยกองทัพเองยังกำหนดให้ทหารครองที่นั่งในสภา 25% โดยอัตโนมัติ เท่ากับว่าพรรค USDP ต้องการที่นั่งอีกเพียง 26% ก็สามารถทำให้มิน อ่อง หล่าย เปลี่ยนสถานะจาก “รักษาการ” เป็นประธานาธิบดีได้อย่างเป็นทางการ
.
เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ได้เดินทางเยือนเมียนมาและพบกับมิน อ่อง หล่าย โดยแสดงความหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสันติภาพซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
.
เมียนมาก็เหมือนกับกัมพูชาที่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็จะยังคงเป็นประเทศที่มีรั้วติดกับเราต่อไปแบบนี้ และที่สำคัญหลายปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ไทยจะสามารถแก้ปัญหาเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสแกมเมอร์ ยาเสพติด หมอกควัน ไปจนถึงสารตกค้างในแม่น้ำ หลังจากนี้รัฐบาลชุดใหม่ของไทยคงต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐบาลเมียนมาหลังการเลือกตั้งอย่างไรครับ