
15 พฤศจิกายน 2568 ผ่าน 96 ชั่วโมง หรือ 4 วัน หลังจากทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา ที่ลอบนำเข้ามาวางในเขตอธิปไตยไทย จนต้องเสียขา รายที่ 7
ฝ่ายไทยยังไม่มีมาตรการตอบโต้ใดๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม นอกจาก...
- ประชุมด่วน สมช.ในวันรุ่งขึ้น
- มติที่ออกมาคือ ระงับปฏิญญาร่วมฯ ชั่วคราว
- นายกฯขึ้นภูมะเขือ ไปเยี่ยมทหารที่ขาขาด และปาดน้ำตา
- ให้สัมภาษณ์ใหม่แนวๆ ฉีกปฏิญญาร่วมฯ และไม่แคร์สหรัฐฯ ไม่สนภาษีทรัมป์
**แต่เมื่อไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาเลย ทำให้กระแสเริ่มตีกลับ ทำนอง “ได้ไม่คุ้มกับที่แสดง”
ที่สำคัญ มาตรการที่ออกมา ไม่มีไม้เด็ด “ตัดเส้นเลือดใหญ่ - ขยี้หัวใจฮุนเซน” นั่นก็คือ การปราบสแกมเมอร์
มีเพียงถ้อยแถลงของกระทรวงการต่างประเทศที่ว่า ไทยยังจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติเรื่องสแกมเมอร์ต่อไป ซึ่งไม่ชัดว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับการกดดันกัมพูชา ในระยะเฉพาะหน้า กรณีลอบวางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารไทย
เสียงวิจารณ์กระหึ่ม และเริ่มเข้าทาง “ฝ่ายแค้น” อย่างเพื่อไทยที่เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ 8 ประเด็น
โดย 5 ประเด็นที่มีข้อมูลแน่นอนแล้ว คือ
1.รัฐบาลสีเทา
2.เอ็มโอยู แรร์เอิร์ธ “ลักหลับ”
3.ที่ดินเขากระโดง
4.งบอุดหนุน โมโตจีพี 4 พันล้าน
5.แทรกแซงคดีฮั้ว สว.
โปรดสังเกต ข้อ 1 ประเด็นใหญ่สุด กลายเป็น “รัฐบาลสีเทา”
คำถามคือ ทำไมรัฐบาลไม่จัดการ โดยเฉพาะการฉวยจังหวะที่กัมพูชาทำผิดปฏิญญาฯ หาความชอบธรรมในการกดดันเป้าหมาย
- ภารกิจเฉพาะหน้า มีรายงานว่า แม่ทัพภาคที่ 1 “บิ๊กไก่” พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ สั่งเตรียมพร้อมทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเป้าหมาย
- หาข่าว ล็อกเป้า “อาคารหรือแหล่งพักพิง” ของเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา ฝั่งตรงข้ามชายแดนไทยด้านจังหวัดสระแก้ว
- โฟกัส 13 เป้าหมาย พร้อมปฏิบัติทันที รอเพียงไฟเขียวจากหน่วยเหนือ และรัฐบาลเท่านั้น
- ยุทโธปกรณ์ที่เตรียมความพร้อม สามารถทำลายเป้าหมายและสร้างความเสียหายขนาดใหญ่ได้ทันที
แผนปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 1 สอดรับกับ “มาตรการระงับยุทธการ” ที่ฝ่ายความมั่นคงเตรียมเอาไว้ ซึ่งกำหนดเป็นฉากทัศน์เอาไว้ชัดเจน
ฉากทัศน์ที่ 1 มาตรการรองรับ กรณี กัมพูชาเริ่มก่อน
- ปฏิบัติตามกฎการปะทะที่มีอยู่ เช่น ต้องตอบโต้จากเบาไปหาหนัก
- ไม่ต้องให้ จนท.ขออนุมัติ เปิดช่องให้ตอบโต้แล้วค่อยรายงาน
- หน่วยสนับสนุน เช่น ตชด. ชรบ. อรบ. ต้องมีการประสานการปฏิบัติกับฝ่ายยุทธการอย่างใกล้ชิด โดยมีการกำหนดตัวผู้รับผิดชอบ พร้อมช่องทางติดต่อเร่งด่วนได้
- ซ้อมแผนดูแลความปลอดภัยพลเรือนก่อนปฏิบัติการ
ฉากทัศน์ที่ 2 มาตรการกรณีที่ฝ่ายเราจำเป็นต้องตอบโต้ก่อน
- เมื่อเห็นว่าภัยนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
- ต้องมีหลักฐานว่าฝ่ายเราไม่สามารถรอให้ภัยนั้นเกิดขึ้นก่อนได้
เช่น พบการเคลื่อนกำลังพร้อมอาวุธหนักของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเตรียมโจมตีไทยอย่างชัดเจน
- มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเอาไว้
- มีการกำหนดตัวผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะฝ่ายพลเรือน ที่ต้องทำเรื่องความปลอดภัยพื้นที่ส่วนหลังและการอพยพ
**ผู้รับผิดชอบต้องแยกต่างหากจากงานด้านยุทธการ
ฉากทัศน์ที่ 3 แผนประสานการปฏิบัติ กรณี แนวรบเกิดขึ้นหลายแนวรบ
- สถานการณ์ความไม่สงบเกิดครอบคลุมหลายพื้นที่ จำเป็นต้องมีการปฏิบัติการร่วมของหลายฝ่าย
- มีแผนประสานการปฏิบัติทุกเหล่าทัพ ทุกกองกำลัง และฝ่ายพลเรือน
การอนุมัติเพื่อปฏิบัติตามแผน
- เมื่อกำหนดแผนปฏิบัติการครอบคลุมความเป็นไปได้ทุกฉากทัศน์แล้ว การเรียกประชุมควรกระทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
- วางระบบ “สมช.ส่วนหน้า” ให้มีการประชุมร่วมเฉพาะผู้บังคับหน่วยที่จำเป็น ไม่ต้องประชุม สมช.ใหญ่ในส่วนกลาง
เช่น สมช.ส่วนหน้า มีเฉพาะ ผบ.เหล่าทัพ และหัวหน้าส่วนราชการที่จำเป็น เพื่อเสนอทางเลือกในการปฏิบัติให้ผู้มีอำนาจสั่งการ ตัดสินใจเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุด
- สั่งให้หน่วยปฏิบัติทุกหน่วยนำไปปฏิบัติ ตามลำดับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้คือแผนปฏิบัติการที่ “เซ็ตกันไว้” และเตรียมพร้อมไว้แล้ว อยู่ที่รัฐบาลจะกดปุ่มนับ 1 เท่านั้น คำถามคือเหตุใดจึงไม่เริ่มนับเสียที
หรือว่านี่คือคำตอบ...
- ข้อมูลการวิเคราะห์ของ “ทีมทัพภาค 1” ทั้งการลอบวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนทหารไทยขาขาดเป็นรายที่ 7 และสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนที่บ้านไปรจัน หรือ บ้านหนองหญ้าแก้วของไทย
**น่าจะมีจุดประสงค์เบื้องหลังคือการเบี่ยงเบนประเด็น “ปราบสแกมเมอร์” ที่กัมพูชากำลังถูกโลกล้อมอยู่ โดยเปลี่ยนเกมนี้ มาเป็นเกมความขัดแย้งรอบใหม่กับไทยแทน
- ลอบวางทุ่นระเบิด ซึ่งวางเป็นแนวยาวหลายพื้นที่ที่แทรกซึมเข้ามาได้ ทั้งห้วยตามาเรีย ซำแต ช่องอานม้า เป็นการวางแบบหว่าน เมื่อทหารไทยพลาดจุดไหน ก็เกิดระเบิดขึ้น และมีความสูญเสีย
- กดดันไทยให้ยกเลิกถ้อยแถลงร่วม หรือ ปฏิญญาร่วมเพื่อสร้างสันติภาพ
- ในปฏิญญาฯ มีข้อตกลงให้กัมพูชาร่วมมือจัดการปัญหาสแกมเมอร์ แม้ไม่ได้ใช้คำนี้ตรงๆ แต่ตีความได้ตรงกัน ฉะนั้นเมื่อไทยระงับปฏิญญาร่วมฯ หรือยกเลิก ก็ทำให้เขมรไม่มีข้อผูกพันใดที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้
- โฟกัสปัญหาเปลี่ยนเป็นการใช้กำลังทางทหาร และใช้ปฏิบัติการข่าวสารตอบโต้กัน
- ถ้าไทย หรืออาเซียนหลงเกม ก็จะโดนกัมพูชาจูงปัญหากลับมาสู่ความรุนแรง และสุดท้ายก็จะกลับมาทำข้อตกลงกันใหม่ โดยที่ปัญหาสแกมเมอร์ไม่ได้ถูกแก้ หรือถูกปราบปรามอย่างจริงจัง
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีข่าว “แม่ทัพภาค 1” สั่งล็อก “13 เป้าหมายสแกมเมอร์” พร้อมโจมตี ก็มีข่าวดิสเครดิตแม่ทัพภาค 1 ออกมาสวนแทบจะทันทีเช่นกัน
- อ้างชาวกัมพูชาถูกกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมจากกองทัพไทย
- จัดตั้งขบวนการเพื่อรวบรวมเอกสารฟ้องร้องกองทัพไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ( ICC )
- อ้างว่ามีนักเรียนนายเรือกัมพูชาที่ศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินการยกร่างและยื่นหนังสือ
- โพสต์ข่าวใส่ภาพ “บิ๊กไก่” อย่างจงใจ ชี้ชัดว่าเป็นการพยายามดิสเครดิต
- พื้นที่ฝั่งตรงข้าม จ.สระแก้ว มีความเปราะบาง เพราะกัมพูชาใช้โล่มนุษย์และชาวบ้าน จึงแสวงประโยชน์ ปลุกกระแสโจมตีทหารไทยว่ากระทำรุนแรงต่อพลเรือน
- ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจบทบาท “บิ๊กไก่” ที่เข้มงวดตามแนวชายแดน ปิดด่านอย่างแข็งกร้าว และยังมีแผนถล่มสแกมเมอร์
ฟากฝั่ง “ฝ่ายค้าน” ที่ถูกมองว่า “ฝ่ายค้ำ” วันนี้แสดงท่าที “เลิกค้ำ” เพราะ “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาแถลงด้วยตนเอง ไม่เห็นด้วยกับ นายกฯอนุทิน ที่ตัดสินใจระงับหรือยกเลิกปฏิญญาร่วมฯ ไทย-กัมพูชา เพราะทำให้เสียโอกาสดึง “โลกล้อมกัมพูชา” โดยใช้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นใบเบิกทาง
พร้อมกันนี้ หัวหน้าเท้ง ยังเสนอ 3 ข้อ เพื่อจัดการปัญหานี้ ซึ่งต้องรอลุ้นว่า รัฐบาลอนุทินจะรับลูกหรือไม่
1.พูดคุยโดยตรงกับผู้นำสหรัฐฯ และจีน ให้ตัดการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา เพื่อจบปัญหาสแกมเมอร์
2.ตั้งผู้แทนพิเศษ หรือ Special envoy เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับนานาชาติ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานด้านการปราบปรามสแกมเมอร์
3.อายัดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศไทย ซึ่งกระทำได้ทันที
งานนี้ถ้ายังไม่ทำอีก ต้องรอลุ้นว่า สุดท้าย “สีส้ม” จะหวนไปกลมกลืนกับ “สีแดง” แล้วลอยแพ “สีน้ำเงิน” ด้วยการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็น “รัฐบาลสีเทา” หรือไม่