svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"สุดารัตน์” ประกาศนำ ทสท.ปราบโกง ชงโทษประหาร นักการเมืองขี้ฉ้อ

"สุดารัตน์” ประกาศนำ "ไทยสร้างไทย" สร้างการเมืองสุจริต ชงโทษประหารนักการเมือง-เจ้าหน้าที่รัฐขี้ฉ้อ ลั่นที่ยืนที่เดียวของคนโกงคือในคุก

8 พฤศจิกายน 2568 พรรคไทยสร้างไทย จัดเวทีสัมมนา “ทุบทุนเถื่อน” ณ โรงแรมเจซี เควิน สาทร กรุงเทพฯ โดยมี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ประกาศเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า พรรคไทยสร้างไทย มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการ “สร้างการเมืองสุจริต” เพื่อพาประเทศออกจากหลุมดำ นำการพัฒนาสู่ประเทศ พาประชาชนหลุดพ้นความยากจน

คุณหญิงสุดารัตน์ ประกาศจุดยืนของพรรคอย่างชัดเจนว่า พรรคไทยสร้างไทย “ไม่โกง และจะไม่ปล่อยให้ใครมาโกงชาติบ้านเมือง” พร้อมย้ำว่า “คนเลวต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ที่ยืนที่เดียวของคนโกงคือในคุก” เพื่อยืนยันความตั้งใจของพรรค ที่จะผลักดันให้ประเทศไทย มีระบบการเมืองที่โปร่งใส และยุติธรรมอย่างแท้จริง 

"สุดารัตน์” ประกาศนำ ทสท.ปราบโกง ชงโทษประหาร นักการเมืองขี้ฉ้อ

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การโกงคือมะเร็งร้ายที่กัดกินประเทศไทยมานาน จนทำให้ประเทศกลายเป็น “คนไข้ที่กำลังป่วยหนัก ถึงขั้นโคม่า” โดยดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยตกต่ำลงต่อเนื่อง ได้คะแนนเพียง 34 คะแนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทุกครั้งที่การโกงเพิ่มขึ้น ความยากจนของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสการพัฒนา จนต้องติดหล่มเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายสิบปี

คุณหญิงสุดารัตน์ ชี้ว่า นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สังคมไทยและรัฐบาลทั่วโลก เริ่มเอาจริงกับการปราบ “ขบวนการสแกมเมอร์” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างใหญ่ของระบบทุจริต และกำลังทำลายเศรษฐกิจไทยอย่างน่ากังวล

จากข้อมูลเศรษฐกิจเถื่อนที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ มีมูลค่าสูงถึง 8.7 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 49% ของ GDP ประเทศไทย สูงติดอันดับ 4 ของเอเชีย ตัวเลขความคลาดเคลื่อนสุทธิ หรือเงินที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 180,000 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งทะยานขึ้นเป็นกว่า 530,000 ล้านบาท สะท้อนการขยายตัวของทุนสีดำอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติจากการส่งออกทองคำไปกัมพูชา มีมูลค่าสูงถึงเดือนละกว่า 10,000 ล้านบาท รวมสิบปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นช่องทางสำคัญของการฟอกเงินข้ามพรมแดน

สำหรับปรากฏการณ์เหล่านี้คือ การปล้นชาติอย่างเป็นระบบ คนไทยถูกโกง ถูกปล้นทรัพยากรไปแล้วหลายแสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออก และซ้ำเติมเศรษฐกิจของประชาชน 

"สุดารัตน์” ประกาศนำ ทสท.ปราบโกง ชงโทษประหาร นักการเมืองขี้ฉ้อ

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า พรรคไทยสร้างไทยและตนเอง จะเดินหน้าอย่างจริงจังในการทำให้ “คนเลวไม่มีที่ยืนในแผ่นดินไทย” พร้อมเรียกร้องให้ประเทศไทย “ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์” โดยมีผู้นำที่เอาจริงในการปราบโกง เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเวียดนาม ที่สามารถจัดการนักการเมืองและข้าราชการทุจริตได้อย่างเด็ดขาด

ถึงเวลาที่เราต้องน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระชนกาธิเบศร มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง และไม่ปล่อยให้คนไม่ดีมีอำนาจ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ว่า พรรคไทยสร้างไทยจะยืนหยัดต่อสู้กับ “คนเลว” ทุกรูปแบบด้วยความกล้าหาญและจริงจัง เพื่อสร้างประเทศที่โปร่งใสและเป็นธรรมให้กับคนไทยทุกคน

พรรคไทยสร้างไทย จึงเดินหน้าอย่างจริงจังในการ “ทุบทุนเถื่อน” ด้วยนโยบายการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างธรรมาภิบาลและต่อต้านการทุจริต

1. เพิ่มโทษประหารชีวิตแก่ผู้กระทำการทุจริตระดับร้ายแรง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง หรือผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์

 

2. จัดทำและแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้าง “อำนาจตรวจสอบภาคประชาชน” ให้ประชาชน 50,000 คน เสนอถอดถอน องค์กรอิสระ และศาลรธน. ได้


3. จัดตั้ง องค์กรตรวจสอบการทุจริตภาคประชาชน ทำงานคู่ขนานกับ ป.ป.ช. และ สตง. มีสมาชิกประมาณ 70 คน จากตัวแทนองค์กรวิชาชีพและประชาชนทุกภูมิภาครวมทั้ง กทม. ทำหน้าที่เสมือน สภาประชาชน ตรวจสอบและเสนอเรื่องต่อ ป.ป.ช. สมาชิกเลือกกันเองเป็น คณะกรรมการบริหาร 11 คน เพื่อดำเนินงานและประสานการตรวจสอบ หาก ป.ป.ช. และอัยการเห็นว่าต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมให้ส่งกลับมาตรวจสอบใหม่ และหากทั้งสองหน่วยงานไม่สั่งฟ้อง องค์กรภาคประชาชนฯ มีสิทธิ ฟ้องคดีเองได้.


4. พักการใช้หรือระงับกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนชั่วคราว 3–5 ปี พร้อมทั้งปรับปรุง ยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมายที่ริดรอนเสรีภาพ และขัดขวางการประกอบอาชีพสุจริตของประชาชน


5. ลดขนาดของระบบราชการอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านจำนวนหน่วยงานและจำนวนเจ้าหน้าที่ โดยดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คล่องตัว และลดภาระงบประมาณของประเทศ


6. สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน (โดยเฉพาะ SME) และภาคประชาชน ในการให้บริการสาธารณะและต่อต้านการทุจริตทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบธรรมาภิบาลที่ยั่งยืน