svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวสถานการณ์

"บิ๊กโจ๊ก" ยื่น กมธ.สอบ "ผบ.ตร." อ้างถูกกลั่นแกล้ง คดี "โกงข้อสอบ"

“บิ้กโจ๊ก” ยื่น กมธ.สอบ "ผบ.ตร." อ้างถูกกลั่นแกล้ง คดี "โกงข้อสอบ" แฉ อาจารย์ ม.ดัง ถูกข่มขู่ให้ซัดทอดความผิด ขณะ “รังสิมันต์” ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

7 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจาก พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบและพิจารณากรณีพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อ้างว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีการใช้กิริยาวาจาหรือประพฤติตนในลักษณะที่ไม่สมควร

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพลเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ดังนั้นในการแสวงหาความยุติธรรม จากการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ การตั้งกรรมการสอบวินัยตนเอง เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 เกี่ยวกับการโกงข้อสอบ ทั้งที่ ผบ.ตร. ทราบแล้วว่าตนเองไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา ในข้อหาทุจริตโกงข้อสอบ หรือการนำข้อสอบออกจากห้องสอบแล้วไปลอก และผ่านไปเกือบ 1 เดือน ผบ.ตร. ยอมรับว่ากระทำผิดตามระเบียบ จากนั้นมีการแก้ไขคำสั่งนำชื่อตนเองออก และระบุเพียง “ผู้กระทำความผิด” 

\"บิ๊กโจ๊ก\" ยื่น กมธ.สอบ \"ผบ.ตร.\" อ้างถูกกลั่นแกล้ง คดี \"โกงข้อสอบ\"

“อย่าลืมว่า คำสั่งไล่ผมออกไป ระบุชื่อผม ตั้งคณะกรรมการวินัยผม ว่าผมเป็นผู้กระทำความผิด แล้วแจ้งเวียนคำสั่งไปทั่วทั้ง ตร. ผมเสียหายแล้วหนึ่ง ซึ่งผมได้ไปฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว และยังให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ สื่อมวลชน YouTube ต่างๆ ว่าผมทำให้ประชาชนเข้าใจว่าผมลักข้อสอบ ต่อมาแอบแก้ไขคำสั่งลบชื่อผมออก เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดโดยมุบมิบทำ ไม่ได้แจ้งสื่อต่อสาธารณะให้เข้าใจว่าผมไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดีลักข้อสอบ เหมือนที่ได้ให้สัมภาษณ์โครมคราม ทำให้ทุกวันนี้สื่อมวลชน ผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ศาล เข้าใจว่าผมลักข้อสอบจนจนถึงเวลานี้” พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าว

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนไซเบอร์สั่งฟ้องในคดีนี้เสร็จเด็ดขาดแล้ว โดยไม่มีชื่อตนเอง และในคดีนี้พบว่ามีเจ้าหน้าที่คุมห้องสอบชื่อ นางสาวคั่น เป็นลูกสะใภ้ของนายพิธาน คลี่ขจาย ซึ่งอาจารย์จากจุฬาฯ เรียกเจ้าหน้าที่คุมสอบในช่วงวันหยุดและปิดห้องเพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และเจ้าหน้าที่คุมห้องสอบคนดังกล่าวให้การว่า ดร.นิด ไม่ได้นำข้อสอบไป แต่พนักงานสอบสวนไซเบอร์ไปสรุปเองว่า ดร.นิด เป็นการขโมยข้อสอบ แล้วเรียกออกหมายจับ ค้นบ้าน ไปสอบปากคำเป็นเวลา 2 วัน และบังคับให้ ดร.นิด ให้การซัดทอดตนเอง ว่าตนเองลักข้อสอบ แต่ ดร.นิด ไม่ยอมทำตาม ทำให้ถูกข่มขู่ว่าไม่ให้ประกันตัว จึงนำไปสู่การแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้องว่า พนักงานสอบสวนบังคับขู่เข็ญ สุดท้ายรองผู้การท่านนี้เรียก ดร.นิด ไปพบที่ไซเบอร์ และบังคับขึ้นรถไป สน.ทุ่งสองห้อง ให้ถอนแจ้งความ แต่ไม่ยอมและไปฟ้องต่อศาลอาญา ว่ารองผู้การคนดังกล่าวขู่เข็ญบังคับ กักขังหน่วงเหนี่ยว 

ดังนั้น จึงตั้งคำถามว่าเหตุใดมีการตั้งคณะกรรมการวินัยสอบตนเองขึ้น โดยเชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้คิดเอาไว้ว่า จากคดีเว็บพนัน และคดีความต่างๆ ตนเองอาจจะได้กลับมา จึงหาคดีใหม่ให้เพื่อดำเนินคดีเพิ่ม และนำคดีใหม่เป็นเหตุเพื่อออกจากราชการครั้งที่สอง โดยชี้ว่า พ.ร.บ. ตำรวจมาตรา 129 ระบุว่าการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยผู้ที่ออกจากราชการไปแล้วต้องตั้งภายใน1 ปี จึงมาตั้งวันที่ 17 เมษายน 2568 โดยเป็นวันสุดท้ายครบ1ปีหลังจากออกจากราชการ แต่ดันตั้งโดยไม่มีอำนาจ เชื่อว่าเป็นการถูกกลั่นแกล้ง

“เพราะฉะนั้นการกระทำของพลเอกกิตติ์รัฐ เป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ เพราะผมไม่ได้มีคดีอาญา การกระทำที่จงใจเพราะรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ซึ่งส่วนนี้ในสัปดาห์หน้าจะไปฟ้องอาญาทุจริตต่อ วันนี้ฟ้องหมิ่นประมาทไปแล้ว 2 คดี ฝากไปถึงกรรมการน้องๆว่า วันนี้อย่าเป็นเบี้ยล่างเขา ไม่ทำตามที่นายสั่ง แต่ทำถูกต้องโดนย้ายไป ย้ายกลับได้ แต่เวลาโดนอาญาแล้วจะติดคุก ดังนั้นกรรมการทุกคนมีอำนาจสอบสวนฝากเตือนไว้ก่อน” พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าว

ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้กรรมาธิการมีอำนาจในการพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการยุติธรรม หากองค์กรตำรวจยังไม่มีความยุติธรรม เป็นไปไม่ได้ที่องค์กรตำรวจจะมอบความยุติธรรมให้กับผู้อื่นได้ โดยได้ติดตามหน้าสื่อเรื่องนี้เป็นระยะ ทราบว่าเป็นประเด็นปัญหาข้อวิพากษ์วิจารณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นในองค์กรตำรวจนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับความเป็นธรรมในองค์กรตำรวจ ซึ่งทุกคนตั้งคำถามในเรื่องนี้ 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรรมาธิการได้เสนอรายงานการปฏิรูปองค์กรตำรวจต่อสภาแล้ว กรรมาธิการให้ความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างมาก และมองว่าการรับหนังสือในวันนี้ คิดว่ามีความจำเป็นที่กรรมาธิการต้องรับเรื่องเอาไว้ จะนำไปพิจารณาและกำหนดประเด็นต่อไป หวังว่าเรื่องนี้มีความสำคัญเร่งด่วนในการแสวงหาความเป็นจริงและสร้างความเป็นธรรม ให้เกิดความชัดเจน ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าอยู่ในบทบาทใด 

“หากมีการกลั่นแกล้งจริง คนที่กลั่นแกล้งก็ต้องถูกลงโทษ หากไม่ได้มีการกลั่นแกล้งก็ต้องมีกระบวนการที่จะต้องดำเนินการต่อไปตามมา ยืนยันว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ และไม่มีใครที่จะมีอำนาจแทรกแซงได้ ยืนยันอย่างตรงไปตรงมา ขอให้ "บิ๊กโจ๊ก" สบายใจว่า จะมีใครมีอำนาจพิเศษมาแทรกแซง ยืนยันไม่มีใครแทรกแซงได้ สำหรับผมทำหน้าที่ราวกับทุกวันเป็นวันสุดท้ายอยู่แล้ว ไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะต้องเรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาชี้แจงในกรรมาธิการด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะเรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาด้วย เพื่อความเป็นธรรม เพราะมองว่า ข้อกล่าวหา เป็นการออกคำสั่ง จึงมีความชัดเจนว่าเรื่องดังกล่าวโยงไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมั่นใจว่า ผู้บัญชาการตำรวจตำรวจแห่งชาติจะมาด้วยตัวเอง รวมทั้งอาจจะมีการเชิญบุคคลอื่นๆ ที่พลตํารวจเอก สุรเชษฐ์ พูดถึงด้วย ย้ำว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งแต่เป็นเรื่องให้ความเป็นธรรม