
30 ตุลาคม 2568 ในการแถลงข่าว "หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ "รถไฟฟ้า BTS" เผยความรู้สึกหลังได้รับการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถ หรือ O&M เป็นเงิน 36,000 ล้านบาท ว่า ดีใจที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้เข้าใจ และจ่ายเงินที่ค้างบริษัทฯมานาน
"ประมาณ 2 ชั่วโมงที่แล้ว บริษัทฯได้รับเงินจาก กทม. เป็นค่าจ้างเดินรถ O&M สายสีเขียวส่วนต่อขยาย จ่ายทั้งหมด 36,000 ล้านบาท"
"สาเหตุที่ดีใจ เพราะที่ผ่านมาหลายปี บริษัทฯได้รับความกดดัน ต้องไปทวงถามทาง กทม. แต่ กทม.ก็ใช้เวลาพิจารณา บริษัทฯจึงต้องแบกรับต้นทุนต่างๆ โดยเฉพาะค่าจ้างพนักงาน ก็หวังว่าภาระนี้จะไม่กลับมากดดันอีก"
"หวังว่าทุกเดือนหลังจากนี้ ในทุกวันที่ 20 ของเดือน กทม.จะจ่ายค่าจ้างให้ทุกเดือน ไม่มีเหตุอะไรให้ล่าช้าอีกต่อไป เพราะ BTS เป็นคู่สัญญาที่ทำงานมาต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย มอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารตลอดมา และในการชำระหนี้รอบนี้ เราก็ยังลดให้ กทม.อีก 200 ล้านบาทด้วย"
วอนหลังจากนี้ ”จ่ายตรง“ ลั่นไม่อยากได้กำไรจากดอกเบี้ย“
นายคีรี กล่าวเปิดใจด้วยว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น อยากให้เข้าใจและชื่นชม BTS เพราะได้ให้โอกาสคู่สัญญา (กทม.) ไปหาความจริงโดยใช้เวลายาวมาก ยืนยันว่าไม่ใช่บริษัทฯ อยากจะรอรับดอกเบี้ยหมื่นกว่าล้านบาท เพราะตนไม่ได้อยากได้กำไรจากดอกเบี้ย
"เราไม่ได้ยินดีด้วยเลย เพราะถ้า กทม.จ่ายมาตลอด เราก็จะไม่มีต้นทุนในการหาเงินมาจ่ายพนักงาน และจ่ายค่าเดินรถ ช่วงที่ กทม.ไม่จ่าย ผมต้องไปหาเงินมาเพื่อให้บริการต่อไป"
"หลังจากนี้เรายังมีสัญญากับ กทม.อยู่ เราจะเดินรถและบริการให้ดีที่สุด ให้ผู้โดยสารสบายและมั่นคง ก็หวังว่าจะได้รับชำระค่าเดินรถตรงเวลา ไม่ให้บริษัทฯมีภาระหนี้อีกต่อไป"
"ผมอดทนมานานเหลือเกิน หวังว่าจะไม่ต้องอดทนอีก ที่ผ่านมาพนักงานก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมบริษัทฯ ต้องทนมานานขนาดนี้ แต่บริษัทฯ ไม่เคยไปลดค่าตอบแทนพนักงานให้ลดน้อยลงเลย"
นายคีรี บอกด้วยว่า การชำระหนี้ของ กทม.ในวันนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทในการลงทุนในระยะต่อไป มีความมั่นใจขึ้นอีกมากทีเดียว
"อนึ่ง สำหรับค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยาย ยอดอยู่ที่เดือนละ 740 ล้านบาท ซึ่งนับจากนี้ กทม.ต้องชำระทุกวันที่ 20 ของเดือน"
เปิดไทม์ไลน์มหากาพย์ “ฟ้องชำระหนี้สายสีเขียว”
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายไทม์ไลน์ของข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่าง BTS กับ กทม. เกี่ยวกับค่าจ้างเดินรถที่ค้างจ่าย จนต้องมีการฟ้องร้องกัน
เริ่มจากเดือน ธ.ค.2560 เปิดส่วนต่อขยาย ส่วนที่ 2 แบริ่ง-สำโรง ช่วงเวลานั้น กทม.จ่ายค่าจ้างเดินรถบ้างในบางช่วงเวลา
ปี 2562 รัฐบาลออกคำสั่ง คสช. ให้มีการเจรจาเรื่องต่อสัมปทาน กทม.ก็เริ่มไม่จ่ายค่าจ้างเดินรถ ตั้งแต่เดือน พ.ค.2562 เป็นต้นมา เพราะอาจเข้าใจว่า ครม.อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีการจ่ายอีกเลย เนื่องจาก กทม.ไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้ จึงไม่มีงบประมาณสำหรับการจ่าย
BTS ในฐานะเอกชนจึงต้องขอให้ศาลช่วย จึงเริ่มฟ้องร้องในปี 2564 ก้อนแรก เงินต้น 10,978 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย ยอดอยู่ที่ 14,000 กว่าล้านบาท เพื่อให้ กทม.ชำระหนี้
BTS ชนะคดีในศาลปกครองกลาง กทม.ได้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ให้ กทม.และ บริษัท กรุงเทพธนาคม หรือ KT ร่วมกันใช้หนี้ ให้เวลา 180 วัน สุดท้าย กทม.ก็จ่ายเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ปีเดียวกัน
หลังจากฟ้องครั้งที่ 1 หนี้ก็ยังเกิดทุกวัน ปี 2565 BTS จึงฟ้องเพิ่ม เป็นการฟ้องครั้งที่ 2 ยอดหนี้หมื่นกว่าล้าน บวกดอกเบี้ยอีก 2 พันกว่าล้านบาท
ล่าสุดศาลสั่งให้ชำระหนี้ก้อนที่ 2 บวกกับหนี้หลังจากวันฟ้องจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 36,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินต้น 31,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ย และได้รับเช็คเรียบร้อยในวันนี้
คำพิพากษายืนยัน “สัญญาจ้างเดินรถ” ชอบด้วย กม.- สวนมติ ป.ป.ช.
พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การชำระหนี้ของ กทม. ถือเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้นทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยผู้ที่คลี่คลายสถานการณ์นี้คือกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง
"เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะคำพิพากษาที่ออกมา เป็นการนำเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เพราะทุนทรัพย์ที่ฟ้องมีจำนวนสูง มีการยกประเด็นในการต่อสู้อย่างหลากหลาย กระทั่งที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า สัญญาระหว่าง BTS กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม ชอบด้วยกฎหมาย"
"ต้องไม่ลืมว่า ข้อพิพาทนี้ที่เกิดขึ้น มีประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอดีตผู้ว่าฯ กทม. โดยมองว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย เป็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานเดิม ทำให้ กทม.ในฐานะหน่วยงานรัฐ อาจจะไม่สบายใจหากจะชำระหนี้ เพราะมีประเด็นคั่งค้างว่าสัญญาชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งๆ ที่ความยุติธรรมทางอาญา กับความยุติธรรมทางปกครอง แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง"
"แต่วันนี้ ศาลปกครองตัดสินแล้ว พิพากษาชัดเจนแล้ว ผ่านที่ประชุมใหญ่ด้วย สรุปว่าสัญญาชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และหยิบยกประเด็นที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ประเด็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะปฏิวัติ ฝ่าฝืนข้อบัญญัติ กทม. ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน รวมถึง พ.ร.บ.ฮั้ว สรุปว่าไม่มีการกระทำใดที่เป็นความผิด ไม่มีส่วนใดของสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่การแก้ไขสัญญาสัมปทานเดิม"
คดี ป.ป.ช.รออัยการสูงสุด ลุ้นออกได้ 2 หน้า
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า หากจะถามว่า คดีของ ป.ป.ช.ไปถึงไหนแล้ว คำตอบคืออยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนผลจะออกมาเมื่อใด ตนไม่ทราบได้ แต่ผลออกได้สองแนวทาง คือ
เห็นด้วยกับมติหรือความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากเป็นแนวทางนี้ อัยการสูงสุดก็จะสั่งฟ้องต่อศาล
หรืออีกแนวทางหนึ่ง คือ อัยการสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วยกับ ป.ป.ช. ก็จะส่งสำนวนกลับ ป.ป.ช. และมีกระบวนการพิจารณาอีกครั้ง
พ.ต.อ.สุชาติ สรุปว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายปี น่าจะจบลงแล้ว การชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถให้ BTS มีการออกระเบียบ กทม.เอาไว้ชัดเจน ว่าใครมีหน้าที่อย่างไร เก็บค่าโดยสารไม่พอต้องทำอย่างไร ขอให้ยึดถือระเบียบที่ตัวเองออก และสัญญาที่ตัวเองเซ็น มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐแน่นอน
ไม่ขอต่อว่าใคร แค่ใช้เวลานานมาก ทำ กทม.เสียประโยชน์
ในช่วงถามตอบ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากคิดเฉพาะดอกเบี้ยที่ กทม.ต้องนำเงินภาษีจากประชาชนมาจ่าย จากความล่าช้าในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะคดีที่ 2 ซึ่งมีข้อเท็จจริงเดียวกับคดีแรก ความเสียหายส่วนนี้ ที่ไม่ควรเสีย คิดเป็นเงินเท่าใด
แต่ นายคีรี ไม่ได้ตอบคำถามนี้ โดยเปรยทำนองว่า ไม่อยากพูดเป็นตัวเลข แต่ขอพูดเชิงหลักการว่า
"ถ้าจ่ายตามเวลาที่ควรจะจ่าย ก็ไม่ควรจะมีดอกเบี้ยเลย"
"เราเดินรถอยู่ บริการอยู่ มีสัญญาถูกต้อง เราไม่ได้ต่อว่า กทม. เพราะท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่ท่านทำนานไปหน่อย จริงๆ แล้วสัญญาเป็นสัญญาเดียวกัน ไม่ควรเสียเวลานานขนาดนี้เลย"
"ถ้าเราได้รับเงินค่าจ้างตามปกติ บริษัทฯ จะมีศักยภาพที่ในการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งก็พัฒนาบริการได้มากขึ้น ทำให้สังคมและต่างชาติมองในทางบวก แต่ปัญหาที่เกิดทั้งหมด ทำให้นักลงทุนมองว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย บริษัทที่เดินรถอยู่ทุกวัน แต่รัฐไม่จ่ายค่าจ้าง ทั้งๆ ที่เป็นบริษัทไทยแท้ยังโดนขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นต่างชาติจะโดนอย่างไร"
"ผมขอพูดว่า กทม.ไม่ได้ผิดมาก แต่ใช้เวลายาวมาก เป็นการเสียประโยชน์ของ กทม.เอง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว"
"ที่ผ่านมามีคนยุให้หยุดเดินรถ แต่ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ที่ผ่านมายังดีที่ได้รับความเชื่อถือเชื่อมั่น ผมก็ต้องไปกู้บ้าง ออกบอนด์บ้าง เพราะไม่ได้รับการจ่ายค่าจ้างยาวมาก นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น"
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : "คีรี" หนุน "รถไฟฟ้าบุฟเฟต์ 40 บาท" - พร้อมเจรจาซื้อคืนสัมปทาน ขอคลังชัดเจน "เมืองการบิน" ไม่เกินสิ้นปี