
22 กรกฎาคม 2568 พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ แสดงความคิดเห็นรวมถึงตั้งข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจ เกี่ยวกับอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti Personnel Mine Ban Convention หรือ Ottawa Convention) จากกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิด (ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล) ในดินแดนประเทศไทยบริเวณช่องบก อุบลราชธานี ขณะลาดตระเวนเนิน 481 และต่อมาได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอีกจานวนหนึ่งเพิ่มขึ้นซึ่งชัดเจนว่าเป็นการวางใหม่
โดยและสื่อมวลชนกับนักวิชาการได้นาเสนอข้อมูล เกี่ยวกับอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti Personnel Mine Ban Convention) หรือที่เรียกว่า Ottawa Convention ซึ่งทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาต่างก็เป็นภาคีที่มีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างเคร่งครัดนั้น
พลเอก กฤษณะ ระบุว่า ในขณะรับราชการกองกฤษฎีกาทหารและการต่างประเทศ กรมพระธรรมนูญ ได้เป็นผู้แทนกรมพระธรรมนูญ เข้าร่วมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาประเทศไทยกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งจัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนเป็นงานในหน้าที่ของผู้เขียน ในการพิจารณาจัดทำข้อคิดเห็น การเข้าเป็นภาคีรายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จนเป็นความเห็นของกระทรวงกลาโหม เสนอกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมาประเทศไทยเข้าเป็นภาคี
หลังจากประเทศไทยเข้าเป็นภาคี ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mine Action Center) สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ต่อมาเป็นกองบัญชาการกองทัพไทย ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ เป็นฝ่ายกฎหมายหรือนิติกรของศูนย์ในระยะเริ่มแรก จึงมีข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจ นอกเหนือจากการนำเสนอโดยสื่อมวลชน และนักวิชาการต่อสาธารณชนแล้ว รวมทั้งที่มาของการเข้าเป็นภาคีของประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
1. อนุสัญญาฯ ห้ามรัฐสมาชิกใช้ สะสม ผลิต และโอน ซึ่งรวมถึงขายและให้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแก่รัฐอื่น โดยต้องทำลายที่มีในครอบครอง เว้นแต่เก็บไว้จำนวนหนึ่งเพื่อฝึกศึกษาการเก็บกู้ทำลาย
2. เจตนารมณ์และวัตถุประสงค์สำคัญหนึ่งของอนุสัญญาฯ ที่กำหนดข้อห้ามดังกล่าวข้างต้น เพราะทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เป็นอาวุธที่ไม่สามารถแยกแยะเป้าหมายการทำลายได้ว่า เป็นพลรบ (combatant) หรือพลเรือน (civilian) ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบ จึงเข้าข่ายเป็นอาวุธที่ขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (กฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธหรือกฎหมายสงคราม) กล่าวคือ ในการโจมตีทำลายศัตรูฝ่ายตรงข้ามในการรบหรือสงคราม จะต้องโจมตีทำลายเฉพาะพลรบเท่านั้น ต้องไม่โจมตีทำลายพลเรือน ซึ่งเป็นประชาชนที่ไม่มีส่วนร่วมในการรบ ดังนั้น อาวุธที่ใช้โจมตีทำลายศัตรู จะต้องแยกแยะเป้าหมายพลเรือนออกจากพลรบได้
3. อนุสัญญานี้ห้ามเฉพาะทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่ห้ามทุ่นระเบิดดักรถถังหรือทุ่นระเบิดต่อ ต้านยานพาหนะ เพราะหากมีคนไปเดินเหยียบทุ่นระเบิดดักรถถัง หรือทุ่นระเบิดต่อต้านยานพาหนะ ทุ่นระเบิดดังกล่าวจะไม่ทำงาน เพราะน้ำหนักกดทับหรือแรงสัมผัสของคนที่เหยียบ ไม่มีน้ำหนักพอให้ระเบิดทำงาน นอกจากนั้นไม่ห้ามการใช้ระเบิดที่มีการกดปุ่มบังคับให้ทำงานโดยคน เพราะสามารถแยกแยะให้ระเบิดทำงานเมื่อมีพลรบศัตรูเข้ามาในระยะรัศมีทำลายได้
4. อนุสัญญานี้ไม่มีบทลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืน เป็นเรื่องที่รัฐสมาชิกที่ได้รับผลกระทบ ต้องนำเสนอพร้อมพยานหลักฐานที่ประจักษ์ ต่อสหประชาชาติโดยคณะมนตรีความมั่นคง พิจารณาดำเนินการบังคับภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติต่อไป และหรือรัฐสมาชิกที่ได้รับผลกระทบนำเสนอต่อประชาคมโลกให้ได้รับรู้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ และภาพลักษณ์ของรัฐที่ฝ่าฝืน ตลอดจนผล กระทบด้านอื่นๆ ตามมา
5. หลังจากมีการจัดทำอนุสัญญานี้ขึ้น กระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามกระทรวงกลาโหมตลอดมาเป็นระยะๆ ว่า ประเทศไทยควรเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ หรือไม่ กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบก ได้แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเรื่อยมาว่า ยังมีความจำเป็นต้องใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในการป้องกันประเทศ จึงยังไม่เข้าเป็นภาคี
จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ.2540 หรือ พ.ศ. 2541 กระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามมาอีก ปรากฏว่าในครั้งนี้กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบก แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบสรุปได้ว่า ขณะนี้กองทัพบกสามารถใช้อุปกรณ์อื่นทดแทนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ในการป้องกันประเทศได้แล้ว จึงเป็นที่มาให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ มีผลใช้บังคับกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
ทั้งนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญานี้ไม่จำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติรองรับแต่อย่างใด ตามที่ผู้เขียนนำเสนอต่อการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่กระทรวงการต่างประเทศ เดิมหลายหน่วยงานเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติรองรับ โดยผู้เขียนนำเสนอหลักการความจำเป็นในการตรากฎหมาย ที่คณะรัฐมนตรีมติให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดสรุปได้ว่า หากสามารถใช้อำนาจฝ่ายบริหารดำเนินการได้ ก็ไม่จำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติ
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด เป็นเรื่องภายในหน่วยงานของรัฐ เพียงกระทรวงกลาโหมออกคำสั่งห้ามทหารใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หากทหารนายใดฝ่าฝืนนำทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปวางหรือใช้ก็จะมีความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา 30 ขัดขืนหรือละเลยมิกระทำตามคำสั่ง และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ส่วนตำรวจโดยเฉพาะตำรวจตระเวนชายแดนที่เคยมีในครอบครอง หากฝ่าฝืนก็จะมีความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และหากมีการบาดเจ็บหรือการตายเกิดขึ้น จากการวางหรือใช้ทุ่นระเบิดดังกล่าว ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย
6. การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ตามที่กล่าวข้างต้นสังกัดหน่วยงานทหาร ซึ่งมีภารกิจกู้เก็บทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าวที่ตกค้างจำนวนมากในดินแดนประเทศไทยนั้น ก็จำเป็นต้องใช้กำลังพลและอุปกรณ์ที่ต้องใช้งบประมาณสูงมาก ในการปฏิบัติให้บรรลุภารกิจภายในเวลาที่กาหนด ซึ่งมีข้อจำกัดสำคัญประการหนึ่งคือ การไปสังกัดหน่วยทหาร ส่งผลให้ไม่อาจได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากบางประเทศที่มีรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายภายใน
รวมทั้งบางองค์กรต่างประเทศที่มีกฎหรือระเบียบ ไม่ให้สนับสนุนช่วยเหลือทางการเงิน และด้านอื่นให้กับหน่วยงานในสังกัดทหารได้ ผู้เขียนเคยเสนอแปลงรูปแบบของศูนย์ให้เป็นหน่วยงานพลเรือน โดยไปสังกัดสานักนายกรัฐมนตรี ดังเช่น กอ.รมน. โดยใช้กาลังพลทหารไปปฏิบัติงาน/ช่วยราชการ ก็จะส่งผลให้ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือเพิ่มขึ้นจากประเทศและองค์กรที่มีข้อจำกัดดังกล่าว
7. สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจไม่เข้าเป็นภาคีอนุสัญญานี้ด้วยเหตุผลอ้างว่า จำเป็นต้องใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลวางไว้ตามแนวชายแดนเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ เพื่อป้องกันการรุกรานเกาหลีใต้จากกองทัพเกาหลีเหนือ ส่วนสิงคโปร์เป็นประเทศเกาะที่ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้ทุ่นระเบิดสังหารวางเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกราน แต่ที่ไม่เข้าเป็นภาคีเพราะเป็นผู้จำหน่ายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
สรุป ข้อสังเกตสำคัญบางประการของอนุสัญญาฯ และที่มาของการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติข้างต้น จะทำให้สาธารณชนได้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น จากการนำเสนอของสื่อมวลชนและนักวิชาการก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนที่ติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลกรณีข้างต้น มีข้อมูลสมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น