
การตอบโต้จากเหตุทหารเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เป็นเหตุให้ทหารบาดเจ็บ 3 นาย เมื่อช่วงสายวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ทั้งรัฐบาลและกองทัพถูกมองว่าออกตัวช้า
โดย ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ถึงท่าทีการตอบโต้ว่า มองว่า 5 วันเพิ่งมีการประชุมหลักของฝ่ายไทย โดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ. ทก.) ชุดใหญ่ ถือว่าค่อนข้างช้า ผิดกับกัมพูชาที่เคลื่อนไหวทันที ทั้งๆ ที่เสียเปรียบไทยอยู่
แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ (ค่ำวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.68) ก็ช้าเกินไป แม้เนื้อหาจะชัดเจน หนักแน่นพอสมควร ทั้งที่จริงๆแล้ว ภายใน 24 ชั่วโมง ควรมีแถลงการณ์ออกมา แม้ว่าจะไม่สามารถกล่าวโทษ หรือสรุปว่าเป็นทุ่นระเบิดจากฝ่ายใด แต่ควรประณาม หรือประกาศไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตอธิปไตยไทย ควรประสานกับประเทศต่างๆทันที เช่น เรียกทูตที่ประจำอยู่ในไทยมาพูดคุย แล้วอธิบายว่าไทยกำลังตรวจสอบภายใต้อนุสัญญาออตตาวา แต่การดำเนินการเรื่องนี้กลับไม่มีความชัดเจน
กองทัพบกดำเนินการเร็วกว่ารัฐบาล ถ้อยคำที่กองทัพใช้ ถือว่ารัดกุม เป็นเอกภาพ ซึ่งจริงๆ ระดับรัฐบาลก็ทำได้เลยเช่นกัน แต่ไม่ทำ
รัฐบาลขาดการสื่อสารสาธารณะที่รวดเร็ว ทันที ฉับไว ในช่องทางที่เข้าถึงง่าย กลายเป็นกัมพูชาได้เปรียบไทย ทั้งๆ ที่ชัดเจนว่าฝ่ายไทยเสียหายมาก และเป็นผู้ถูกกระทำ
รวมทั้งมองว่า ฝ่ายไทยแถลงเปะปะ ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์ของไทยในระยะยาว
1.ความไม่สอดคล้องกันของการให้น้ำหนักในท่าทีต่างๆ กองทัพบกชัดเจนตั้งแต่แรก มุ่งร้องต่อยูเอ็น ส่วนกระทรวงการต่างประเทศใช้คำกลางๆ มุ่งใช้กลไกทวิภาคี ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ ใช้คำอีกแบบ ระบุว่ามีการขัดขวางจากกัมพูชา แต่ไม่ได้ขยายต่อ
2.การแถลงทำไมไม่ใช้กลไก ศบ.ทก. ซึ่งถือเป็นทีมไทยแลนด์ เป็นเสียงเดียวที่เป็นเอกภาพ รัฐบาลกลับปล่อยให้หน่วยงานต่างๆ แถลงกันเอง และไม่ตรงกัน