อ.สุรชาติ สอนมวย แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้นำต้องเก่งเท่านั้น!
จากปัญหาไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดชนวนที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี กรณีทหารกัมพูชาลักลอบขุดคูเลต เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา และยืดเยื้อขายปมมาจนถึงปัจจุบัน
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองไทยและการเมืองโลก นำเสนอบทความ ที่วิเคราะห์ถึงวิกฤตปัญหา และผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจตอบโต้และตัดสินใจแก้ปัญหาของผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
สำรวจปัญหา
ถ้าสำรวจประเด็นความมั่นคง ที่มีลักษณะเป็น “ปัญหาเฉพาะหน้า” (คือเป็น immediate threat ในทางความมั่นคง) เราจะเห็นประเด็นที่สำคัญที่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้
- ปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งในส่วนที่เป็นปัญหาทางบกและทางทะเล
- ปัญหาสงครามกลางเมืองเมียนมาร์ และผลกระทบกับแนวชายแดนไทย
- ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกี่ยวข้องชายแดนไทย-มาเลเซีย
- ปัญหากลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติตามแนวชายแดนไทย โดยเฉพาะกรณีกลุ่มทุนจีนและแก๊งคอลเซนเตอร์
- ปัญหามลพิษข้ามชาติบริเวณแนวชายแดนไทย เช่น กรณีปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก
แนวทางการแก้ปัญหา
ในภาวะที่ต้องเผชิญกับปัญหารอบด้าน และในบางกรณีถูกขยับให้มีสภาวะเป็น “วิกฤตการเมือง” ด้วยนั้น รัฐบาลอาจกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้
- การกำหนดทิศทางเชิงนโยบายต้องให้มีความชัดเจน
- การสร้างความเข้าใจของฝ่ายการเมืองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
- การสร้างเอกภาพของฝ่ายปฏิบัติในฐานะของการเป็นผู้รับนโยบาย
- การสื่อสารทางการเมืองเพื่อสร้างความเข้าใจกับสังคมภายใน
- การสื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อสร้างความเข้าใจในเวทีสากล
ผลกระทบทางด้านจิตวิทยา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดปัญหาข้อพิพาทขึ้น สิ่งที่เกิดเป็นความรู้สึกของประชาชนในการแก้ปัญหาของรัฐบาล ซึ่งถือเป็น “ปัจจัยจิตวิทยาการเมือง” นั้น เป็นประเด็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นผลกระทบในทางการเมือง ดังนี้
- รัฐบาลมีความล่าช้า หรืออาการรีๆรอๆในการดำเนินการ - เมื่อทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดแล้ว รัฐบาลสามารถแถลงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ทราบถึง 3 วันว่า ทุ่นระเบิดนี้เป็นของใหม่หรือเก่า แต่ท่าทีที่ปรากฏกลายเป็นรัฐบาลเลือกที่จะรอ
- รัฐบาลควรท่าทีแบบกล้าตอบ - รัฐบาลควรแสดงท่าทีในแบบแอคทีฟในการแถลง ไม่ใช่กล่าวว่า “ในนามรัฐบาล จะไม่ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามผ่านทางโซเชียล” แต่ข้อเสนอให้มีความแอคทีฟนี้ ก็ไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลไปท้าชนแบบพวกชาตินิยมสุดโต่ง
- รัฐบาลควรดำเนินการด้วยความเข้าใจ - การส่งกองร้อยปราบจลาจลของำรวจภูธรภาค 3 ไปชายแดน น่าจะสะท้อนความไม่เข้าใจของรัฐบาล เพราะงานชายแดนควรมอบภารกิจให้แก่ตำรวจตระเวนชายแดน เพราะเป็นตำรวจที่มีภารกิจในพื้นที่เช่นนี้โดยตรง
- ไม่อยากเห็นรัฐบาลเป็น “เบี้ยล่าง” - คนในสังคมไทยมีความรู้สึกร่วมกันว่า ตั้งแต่เกิดปัญหาชายแดน โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงนั้น รัฐบาลไทยดูจะเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด จึงอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงบ้าง
- ไม่อยากเห็นมาตรการแบบ “แก้เกี้ยว” - การฟ้องผู้นำกัมพูชาในประเด็นการปล่อยคลิปเสียงด้วยกฎหมายภายในของไทย เช่น พรบ. คอมพิวเตอร์ และกฎหมายมาตรา 116 ซึ่งการฟ้องนี้ไม่น่าจะมีผลในทางปฏิบัติ
- รัฐบาลทิ้งชีวิตคนที่ชายแดน - คนที่อยู่ที่ชายแดนในกลุ่มต่างๆ มีความรู้สึกคล้ายกันว่า พวกเขาถูกรัฐบาลทิ้ง และมองว่าการแก้ปัญหาเป็นโยบายแบบเอาใจคนกรุงเทพฯ และพวกชาตินิยม
- รัฐบาลต้องควบคุมการปลุกกระแสชาตินิยม - การปลุกกระแสนี้สร้างปัญหาตั้งแต่กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารในปี 2551 และถ้าปลุกจนสุดโต่ง จะนำประเทศไทยเข้าสู่สงคราม และจบลงด้วยการขึ้นศาลโลก จึงต้องการการควบคุมไม่ให้เกิดภาวะสุดโต่ง
- รัฐบาลต้องควบคุมการหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ชายแดน - การปิดด่านอาจเป็นวิกฤตสำหรับชีวิตของคนในพื้นที่ชายแดน แต่เป็นโอกาสทองของการหาประโยชน์สำหรับคนบางกลุ่ม
- สังคมอยากเห็นบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ - คนในสังคมมีคำถามตลอดมาว่า กระทรวงต่างประเทศหายไปไหน? (ว่าที่จริง บทบาทหายไปตั้งแต่ปัญหาภาษีทรัมป์แล้ว!)
- ผู้นำรัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงภาวะการนำในการแก้ปัญหา - คนในสังคมปัจจุบันรู้สึกว่าผู้นำรัฐบาล ไม่มี “leadership” ในการแก้ปัญหา และแก้ปัญหาแบบไม่จริงจัง เช่น กรณีปัญหาทุ่นระเบิดสังหาร ก็เสนอที่จะรอการ์ดส่งข้อร้องเรียนของไทยไปยังคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวาในช่วงตอนปลายปี เพราะจะมีการประชุมในเวลานั้น เป็นต้น (ต้องรออีกแล้ว !)
ดังนั้น รัฐบาลต้องตระหนักเสมอว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น นอกจากจะต้องการทั้งความรู้และความเข้าใจในการกำหนดทิศทางนโยบายแล้ว ยังต้องการตัวบุคคลที่มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา เพราะไม่มีความสำเร็จของนโยบายใด เกิดได้ด้วยการใช้บุคลากรที่ไร้ความสามารถ หรือไม่มีความสามารถเพียงพอในการจัดการปัญหา
หรือที่นักเรียนรัฐศาสตร์ในสาขาการเมืองระหว่างประเทศถูกสอนเสมอว่า “วิกฤตระหว่างประเทศแก้ด้วยผู้นำที่เก่ง” … ไม่มีข้อยกเว้นเป็นอื่น !