svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

อธ.สนธิสัญญาฯ ยืนยันพร้อมรับมือเขมรดื้อดึงขึ้นศาลโลก

อธ.สนธิสัญญาฯ ยืนยันพร้อมรับมือเขมรดื้อดึงขึ้นศาลโลก - ฉะ! กัมพูชาข้ามขั้นตอน MOU43 ปิดประตูการเจรจาพูดคุย-เสนอเรื่องต่อสาธารณะ - จี้กลับมาใช้กลไกเจรจา

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กัมพูชาพยายามนำประเด็นเขตแดน 4 พื้นที่ ทั้งประสาทตาเมือนธม, ประสาทตาเมือนโต๊ด, ประสาทตาควาน และช่องบกให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลกพิจารณาว่า ความคืบหน้าขณะนี้ ฝ่ายกัมพูชา ได้นำเรื่องไปก่อนใน 4 พื้นที่แล้ว โดยจะไม่นำกลับมาพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ไทย-กัมพูชาอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะกระบวนการตามกลไกทวิภาคี กำลังดำเนินการอยู่ได้ด้วยดีซึ่งมีความคืบหน้าในการสำรวจเขตแดนร่วมกัน หรืออย่างน้อยหลักเขตแดนที่ได้ข้อสรุปเกินครึ่งแล้ว 

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ รัฐบาลไทย ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชา และศาลโลก ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลโลก ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า รายละเอียดคำร้องของฝ่ายกัมพูชาได้ฟ้องอย่างไร และใช้ฐานอำนาจใดฟ้อง โดยยืนยันว่า กรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีคณะทำงานพร้อมรับมือ โดยได้มีการศึกษาประเด็นกฎหมายทุกความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น และยังมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายระดับโลกเป็นที่ปรึกษาด้วย พร้อมยังได้คำนึงบริบท และข้อพิาาท รวมถึงนัยยะต่ออธิปไตยของประเทศ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังระบุว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะการนำเรื่องไปศาลโลกนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายควรตกลงกันก่อน เพื่อตีกรอบการขึ้นศาลโลก แต่กัมพูชากลับนำเรื่องเสนอต่อสาธารณะชน แทนที่จะมาหารือกับรัฐบาลไทยก่อน เพราะเป็นการปิดโอกาสที่ทั้ง 2 จะได้พูดคุยกันอย่างเปิดอก รวมถึงข้อขัดข้องที่มี 

 

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ ยังได้ชี้แจงตั้งตอนตามหลักการหลักเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกว่า ตามหลักการ การนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาศาลโลก ทั้ง 2 ฝ่ายต้องรับอำนาตศาลโลกก่อน แต่ฝ่ายไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก ตั้งแต่ 2503 แล้ว เหมือนอีกกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ที่ไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลก รวมถึงตาม MOU43 ในข้อ 8 ระบุ หาเกิดปัญหาการตีความการปักปันเขตแดน ให้ทั้ง 2 ฝ่ายหารือกันก่อน ซึ่งสะท้อนว่า เป็นการข้ามขั้นตอน และตามกฎบัตรสหประชาชาติ ได้เน้นการให้คู่กรณีพูดคุนกันก่อน รวมถึงยังมีกลไกอื่น ๆ ในการหารือ ก่อนที่เรื่องจะไปถึงศาลโลกได้ เว้นแต่จะไม่สามารถตกลงกันได้แล้วจริง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นยังไม่เคยมีการหารือข้อพิพาทใน 4 พื้นที่มาก่อนใด ๆ 

 

ส่วนขั้นตอนหากศาลโลกตัดสินแล้วนั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงว่า ศาลฯ มักจะตัดสินตามหลักการ และให้คู่กรณีไปตกลงรายละเอียดในพื้นที่กันเอง ซึ่งก็จะต้องมีการปักปันเขตแดน โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งไทยไม่ได้หลีกหรือหนีใด ๆ แต่ขอให้อยู่ในข้อเท็จจริง ที่มีกรอบกฎหมาย และสนธิสัญญา ที่พร้อมใช้ในการปฏิบัติงาน พร้อมย้ำว่า ไทยและกัมพูชา มีกลไกทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง 3 กลไกทั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC, คณะกรรมการชายแดนทั่วไป: General Border Committee หรือ GBC และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค: Regional Border Committee หรือ RBC จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชา กลับมาใช้เครื่องมือที่มีอยู่ก่อน