คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวก่อนการประชุมหัวหน้า และแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นญัตติขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ฝ่ายค้าน จะมีการพูดคุยกันในวันนี้ (7 ก.พ.) ว่า จะมีการอภิปรายในประเด็นใด และจะยื่นญัตติในวันใด แต่พรรคไทยสร้างไทย สนใจการพนันออนไลน์ที่จะยกมาทำให้ถูกกฎหมาย รวมถึงสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีการซ่อนบ่อนกาสิโนเอาไว้ เพราะมองว่า ได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งมีเหตุผล และหลักฐานเชิงลึกว่า เรื่องดังกล่าว มีการดีลกันไว้ว่าใครจะได้บ้าง ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ จะทำให้เยาวชนไทยติดการพนันอย่างงอมแงม พร้อมมองสาเหตุที่รัฐบาลหยิบเรื่องดำกล่าวมาดำเนินการควบคู่กัน เพราะบ่อนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเจ๊ง เนื่องจากคนที่เล่นส่วนใหญ่หันไปเล่นการพนันออนไลน์
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า พรรคไทยสร้างไทยไม่ได้คัดค้านสถานบันเทิงครบวงจรอย่างหัวชนฝา แต่สาเหตุที่คัดค้านเพราะไม่สามารถควบคุมสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดได้อย่างเช่นประเทศสิงคโปร์ เพราะการบังคับใช้ของประเทศไทยหย่อนยานที่สุด มีการทุจริตสูง จึงเห็นภาพที่มียาเสพติดเต็มบ้านเมือง และมีบบ่อนการพนัน ที่อยู่ใกล้โรงพัก และยังเป็นทางผ่านของขบวนการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน ประเทศไทยสอบตกด้านการป้องกันการทุจริตตามดัชนี CPI อยู่ในอันดับที่ 108 จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ที่อยู่อันดับที่ 5 ของโลกได้ พร้อมยังมองว่า ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร ที่ได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีมานั้น เป็นร่างกฎหมายที่ห่วยแตก เพราะยกอำนาจทั้งหมดไว้ที่คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรตามกฎหมาย ซึ่งในคณะกรรมการชุดนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหากสภาผู้แทนราษฎร ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็เสมือนการตีเช็คเปล่าให้กับคณะกรรมการฯ ชุดนี้ ไปกำหนดกติกาทั้งหมด ทั้งเงื่อนไข ค่าตอบแทน ฯลฯ จึงถือว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังให้คะแนะนำว่า ให้นำข้อกำหนดที่จะถูกกำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายฯ ชุดนี้ ไปไว้ในร่างกฎหมาย และทำประชามติผ่านรูปแบบออนไลน์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และเมื่อผ่านการออกเสียงประชามติแล้ว ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และขอให้นำร่องดำเนินการก่อน 1 แห่ง โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนสถานบันเทิงครบวงจร แต่ส่วนของกาสิโนนั้น ให้ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการ เพราะหากมีผลเสีย รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะภาคเอกชน ไม่สามารถไปยกเลิกได้ และหากรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี มีความจริงใจ มีความเป็นแม่ จึงอยากให้คำนึงถึงลูกหลานมากกว่านี้ และเชื่อว่า ขั้นตอนนี้จะไม่เสียหาย
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะสามารถเอาผิดตามกฎหมายได้หรือไม่นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า การจะเอาผิดจะต้องมีหลักฐาน และมั่นใจว่า ฝ่ายค้านมีหลักฐาน แต่เสียง สส.ของฝ่ายค้าน ไม่เพียงพอที่จะลงมติไม่ไว้วางใจได้ และอย่างน้อยขอให้สังคมได้ตื่นรู้
ส่วนคาดการณ์ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐบาล จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า วัตถุประสงค์ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเสร็จสิ้น พรรคไทยสร้างไทย หวังว่า จะสามารถนำไปสู่การยื่นเอาผิดฐานทุจริตเชิงนโยบายตามกฎหมายได้ หรือบุคคลที่บกพร่องต่อหน้าที่ทำให้ประเทศเสียหาย โดยหวังให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ไปดำเนินการตรวจสอบไต่สวน แต่การปรับคณะรัฐมนตรีนั้น มักถูกใช้เป็นข้ออ้างของผู้นำรัฐบาล ในการปรับคณะรัฐมนตรี ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง