
KEY
POINTS
แม้สปอร์ตไลท์การเมืองจะสาดฉายไปยัง "ทักษิณ" แต่ทว่าบนถนนสายนี้ ก็มีขุนพลข้างกาย เปรียบเสมือนกุนซือคอยร่วมขับและผลักดันอดีตนายกฯ รายนี้ ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ
"NationStory" จะขอรวมเหล่าบรรดาขุนพลข้างกาย "ทักษิณ" ที่ครั้งหนึ่ง คือ กลุ่มนักศึกษาที่เคยออกมาเคลื่อนไหวช่วงเหตุการณ์เดือนตุลาฯ จนถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ อันเป็นหัวเลี้ยงหัวต่อครั้งสำคัญของการเมืองไทย
"สหายใหญ่-ภูมิธรรม"
เริ่มจากคนที่รู้จักมักคุ้นกันอย่างดี เพราะปรากฏเป็นข่าวให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน จนสื่อมวลชนมอบฉายา "รองกอง" อย่าง "ภูมิธรรม เวชยชัย" หรือ "อ้วน" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์
ทว่า อีกด้านหนึ่งในช่วงชีวิตวัยรุ่นสมัยเป็นนักศึกษา "ภูมิธรรม" เคยร่วมเคลื่อนไหวช่วงเหตุการณ์ตุลาฯ ทั้งในปี 2516 และ 2519 จนได้รับชื่อเป็น "สหายใหญ่" อีกทั้ง ต้องระหกระเหินเข้าป่า หยิบจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับทางการ ในเขตงานอีสานใต้ ก่อนจะถูกส่งตัวไปอยู่สำนักเอ 30 แขวงหลวงน้ำ สปป.ลาว
ด้านประวัติส่วนตัว "ภูมิธรรม เวชยชัย" เกิดเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2496 ที่ จ.พระนคร
สำเร็จการศึกษา
เส้นทางการเมือง
“ภูมิธรรม” ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมือง เคยเป็นรองผู้อำนวยการโครงการอาสาสมัคร สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2522 ก่อนหันเหมาทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ประจำสำนักประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือชินวัตร ในระหว่างปี 2540 - 2541
ก่อนจะกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญ จุดเริ่มจากการถูกทาบทามให้มาเป็นที่ปรึกษาคณะทำงานสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ในปี 2544 ก่อนจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ในช่วงปี 2548 “สหายใหญ่ ภูมิธรรม” ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม
กระทั่งปีเดียวกันก็ได้มีการเสนอให้ยุบองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ หรือ ร.ส.พ. เนื่องจากขาดทุนจนเป็นหนี้สะสมกว่า 1,800 ล้านบาท ต่อมาในการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 50 ทำให้เขาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค
ทำให้ "ภูมิธรรม" ต้องห่างหายจากการเมืองไประยะเวลาหนึ่ง จนเมื่อพ้นบ่วงคำพิพากษา ได้กลับเข้าสู่สนามนี้อีกครั้งด้วยการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในปี 2555 พร้อมทั้งยังรับบทบาทสำคัญ อาทิ เลขาธิการพรรค เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จนในการเลือกตั้ง 2566 ได้ลงสนามด้วยการเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 100 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ทว่า ได้รับการแต่งตั้งจาก "เศรษฐา ทวีสิน" ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์
"สหายจรัส-พรหมมินทร์"
ถัดมา "นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช" หรือ "หมอมิ้ง" เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หนึ่งอดีตคนเดือนตุลาฯ ซึ่งได้ผ่านทั้ง 2 ช่วงเหตุการณ์สำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย และกลายเป็นผู้หลบหนีเข้าป่าจากการล้อมปราบของทหาร ก่อนเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. และจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลกลาง จนได้รับชื่อว่า "สหายจรัส"
"หมอมิ้ง" หรือ "สหายรหัส" เด็กนักกิจกรรมสู่นักเคลื่อนไหว เกิดจากการจับพลัดจับผลูมีโอกาสได้อยู่ในเหตุการณ์ สมัยยังเป็นนักเรียนจนมาสู่ชีวิตในรั้วมหาลัย
สำหรับประวัติ "หมอมิ้ง พรหมมินทร์" เกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2497 ที่ จ.พระนคร
สำเร็จการศึกษา
เส้นทางการเมือง
แรกเริ่มก่อนจะเข้าสู่ถนนสายนี้ ภายหลังเรียนจบก็เข้ารับราชการโดยเป็นหมออยู่ในพื้นที่ภาคอีสานหลายปี กระทั่งเครือข่ายคนเดือนตุลาฯ เริ่มเข้าไปช่วยงานการเมือง "ทักษิณ" จึงได้ลาออกจากราชการ และมาทำงานกับกลุ่มบริษัทชินวัตร ซึ่งตำแหน่งสุดท้าย คือ ซีอีโอ ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ก่อนกระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติแบบเต็มตัวช่วงปี 2541
โดย "หมอมิ้ง" ถือเป็นนักยุทธศาสตร์ในการวางแคมเปญรณรงค์หาเสียงให้กับ "ทักษิณ" ช่วงไทยรักไทย จนทำให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 หรือ รัฐบาลทักษิณสมัยแรก และถูกตั้งแต่ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ กระทั่งในปี 2545 ได้รับตำแหน่งเป็นรองนายกฯ ในช่วงปี 2546-2548 ได้นั่งเก้าอี้ รมว.พลังงาน
ทว่า ในการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ทำให้ "หมอมิ้ง" ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรค ก่อนเงียบหายจากหน้าจอการเมือง และกลับมาอีกครั้งหนึ่งช่วงปี 2564 กับการมีส่วนร่วมในการตั้งกลุ่มแคร์ คลับเฮาส์ ทำให้ชื่อ "หมอมิ้ง" กลับมาปรากฏบนหน้าสื่อ กระทั่งในรัฐบาลเศรษฐา ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการนายกฯ
"สหายสุภาพ-จาตุรนต์"
"จาตุรนต์ ฉายแสง" หรือ “อ๋อย” อีกหนึ่งคนมีบทบาทในช่วงเหตุการณ์เดือนตุลาฯ เพราะต้องหลบหนีเข้าป่า ประจำการที่สำนัก 61 ฐานที่มั่นภูพยัคฆ์ จ.น่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือ ศนท. ในการสู้รบเวลานั้น
สำหรับประวัติ "อ๋อย จาตุรนต์" เกิดเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2499 ที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จ.ฉะเชิงเทรา
สำเร็จการศึกษา
เส้นทางการเมือง
ภายหลังการสำเร็จการศึกษาก็เดินทางกลับประเทศ เพื่อลงสมัครเป็น สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาธิปัตย์ ตามคำชักชวนของผู้เป็นพ่อ คือ "อันนต์ ฉายแสง" อดีต สส.ฉะเชิงเทรา และอดีต รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมัยแรกในปี 2529 และสมัยที่สองในปี 2531 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น อย่าง พรรคประชาชน พรรคความหวังใหม่
กระทั่งในปี 2544 ได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย โดยลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และในปี 2545 ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รมว.ยุติธรรม และช่วงเดือนต.ค.ปีเดียวกัน ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ กระทั่งปี 2548 ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ อีก 1 สมัย และปีเดียวกันได้รับการแต่งให้เป็น รมว.ศึกษาธิการ
ภายหลังรัฐประหารปี 2549 "ทักษิณ" ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค โดยไทยรักไทยได้เลือกให้ "จาตุรนต์" ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค กระทั่งปี 2556 "จาตุรนต์" ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รมว.ศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ทว่า ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 "จาตุรนต์" ได้ออกจากเพื่อไทย ไปร่วมงานกับพรรคไทยรักษาชาติ โดยลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่สอง แต่เมื่อพรรคถูกยุบจากกรณีเสนอชื่อแคนดิดเดตนายกฯ "จาตุรนต์" พร้อมด้วย "เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์" จึงไปร่วมก่อตั้งพรรคเส้นทางใหม่ ในปี 2564
ทว่า ในปีเดียวกันก็ได้กลับไปสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทยอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งในการเลือกตั้งปี 2566 ได้ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 13
"หมอเลี๊ยบ-สุรพงษ์"
ปิดท้ายด้วย "นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตรองนายกฯ และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง อีกหนึ่งคนสนิท "ทักษิณ" และเป็นบุคคลที่เคยร่วมเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ตุลาฯ แม้จะไม่เข้าป่าจับอาวุธ แต่เหตุการณ์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนครั้งสำคัญของชีวิต คือ 6 ตุลาฯ 19 ภายหลังสิ้นเสียงปืน และภาพท้องสนามหลวงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า กลายเป็นพลิกความคิดเด็กวัย 19 ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่
สำหรับประวัติ "หมอเลี๊ยบ-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" เกิดเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2500 อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์
สำเร็จการศึกษา
เส้นทางการเมือง
ก่อนที่ "หมอเลี๊ยบ" จะเข้าสู่ถนนสายนี้ ภายหลังสำเร็จการศึกษาและผ่านช่วงสำคัญจากเหตุการณ์ตุลาฯ ก็ได้เข้ารับบราชการเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยคณบดี คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
กระทั่งยุครัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อปี 2544 ได้ตั้งให้ "หมอเลี๊ยบ" ดำรงตำแหน่งรมช.สาธารณสุข และในปี 2551 สมัยรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ควบ รมว.คลัง กระทั่งปีเดียวกันได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
อย่างไรก็ตาม "หมอเลี๊ยบ" ยังเคยถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีแก้ไขสัญญาสัมปทานไทยคมเอื้อชินคอร์ป สมัยดำรงตำแหน่ง รมว.ไอซีที ในรัฐบาลทักษิณ ก่อนที่จะได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2560 และมาเป็นพิธีกรผู้ร่วมดำเนินรายการผ่านทางช่องพีซทีวี และวอยซ์ทีวี ในปี 2561 กระทั่งรัฐบาลเศรษฐา เมื่อปี 2566 ได้แต่งตั้ง "หมอเลี๊ยบ" เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
ทั้งหมดเป็นภาพรวมคนเดือนตุลาฯ ซึ่งเปรียบได้ดั่งขุนพลข้างกายของผู้ชายชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ในการทำหน้าที่คอยผลักดันแนวนโยบายทางการเมือง เพื่อขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ที่มา
https://www.bangkokbiznews.com/politics/964208
https://www.thansettakij.com/politics/574291
https://themomentum.co/closeup-prommin-lertsuridej/
https://theactive.net/data/octorber-political-people/
https://prachatai.com/journal/2019/10/84642
https://www.voicetv.co.th/read/534073