svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สวนกันคนละหมัด"ปชป.-พท."ปม"เงินหมื่นดิจิทัล"

"เกียรติ สิทธีอมร" จี้ กกต.ออกมาย้ำให้ชัดหลังนโยบายเงินหมื่นดิจิทัลไม่ตรงปกที่ยื่น ขณะที่ "เด็จพี่" สวน "จุรินทร์" เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน แต่อย่าทำตัวเป็นหมอดู เดาปัญหาเพื่อเตะตัดขารัฐบาล ถามกลับหรือกลัวเพื่อไทยได้คะแนนพุ่ง

16 พฤศจิกายน 2566 "นายเกียรติ สิทธีอมร" คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สิ่งที่เลขาธิการนายกฯ และรมช.คลัง ระบุว่า หากพ.ร.บ.เงินกู้ ไม่ผ่าน ยังไม่มีแผนสำรอง แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ บอกว่า มีแผนสำรองแต่ยังไม่บอก เรื่องนี้สะท้อนว่าการให้ข้อมูลของนายกฯ และคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทำให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือ

นายเกียรติ กล่าวต่อว่า แม้วิธีออกกฎหมายจะเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่กฎหมายนั้นก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย คือ ต้องเข้าข่ายกรณีจำเป็นเร่งด่วนเมื่อมีวิกฤติ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ระบุไว้อย่างชัดเจนใน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องชี้แจงในสภาให้ชัดเจนว่าประเทศมีวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร และเหตุใดออกเป็น พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ได้ เพราะการจะออกเป็น พ.ร.บ.เงินกู้นั้น จะต้องพิจารณาในเงื่อนไขของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่ระบุไว้ชัดเจนเช่นกันว่า ต้องเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณประจำปีได้ และมาตรา 57 ซึ่งผูกโยงไปถึงมาตรา 53 และมาตรา 56 ที่ระบุว่าการกู้เงินนั้นจะทำได้เฉพาะ เพื่อใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ หรือสังคมเท่านั้น

 

นายเกียรติ ระบุต่อว่า การพิจารณา พ.ร.บ.เงินกู้ ดังกล่าวจะผ่านหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำชี้แจงของรัฐบาล แต่จนถึงวันนี้ยังคงเป็นคำถามเดิม ที่มีตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว และรัฐบาลก็ยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน ที่สำคัญ คือ เมื่อกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ กฤษฎีกาก็จะตีความเช่นเดียวกันว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องอธิบายถึงความคุ้มค่า ความจำเป็นเร่งด่วน และชี้แจงว่าประเทศมีวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งๆ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้หยุดชะงัก ไม่ได้ติดลบ ตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศที่เห็นตรงกันว่าประเทศไทยไม่ได้กำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ

 

"จริงอยู่ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ต้องโตด้วยการปรับโครงสร้าง ไม่ใช่โตด้วยการกระตุ้นให้ใช้เงิน และควรเริ่มจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ตั้งแต่ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซ เพราะเห็นได้ชัดว่า ขณะนี้เป็นโครงสร้างที่บิดเบือนมาก ทำให้ประชาชนต้องแบกภาระ แต่ผู้ประกอบการบางรายได้กำไรเกินควร ซึ่งการปรับโครงสร้างพลังงาน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย แต่ได้ผลทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้าน" นายเกียรติ ระบุ

 

ขณะเดียวกัน นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงนั้น จะต้องยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมถึงจะต้องระบุให้ชัดเจนถึงแหล่งที่มาของเงินจะนำมาใช้จ่ายในนโยบายที่หาเสียงด้วย แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำนั้น ไม่ตรงกับสิ่งที่ยื่นไว้ต่อ กกต. ทำให้เกิดปัญหาตามมา ว่าเมื่อพรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาลแล้วหากสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็จะทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคหมดความน่าเชื่อถือ เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วสามารถทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับที่เคยยื่นต่อ กกต. ได้ ไม่เป็นไร เรื่องนี้ กกต. จึงควรต้องออกมาชี้แจงด้วยว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า พอเป็นรัฐบาลก็จะเปลี่ยนเงื่อนไขอะไรก็ได้ อย่างนี้จะกระทบต่อความเชื่อถือของพรรคการเมืองอย่างมาก ทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ "นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์" ที่ปรึกษา (ฝ่ายการเมือง) ของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ออกมาตอบโต้ "นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งคำถามรัฐบาลว่าหากเงินดิจิทัลจำเป็นจริงทำไมไม่ออกเป็น พ.ร.ก. แทน พ.ร.บ. และมองว่าเป็นเรื่องก่อหนี้สนองนโยบายหาเสียง โดยตนสงสัยถึงท่าทีของนายจุรินทร์ กับกรณีเงินดิจิทัลอยู่เหมือนกัน

 

"คราวก่อนตัวท่านเองที่ออกมาบอกรัฐบาลว่า จะแจกเงินดิจิทัลก็แจก แต่อย่าเอาประชาชนเป็นโล่กำบัง พอรัฐบาลผ่านการหารือ และกำหนดกรอบการดำเนินโครงการ โดยจะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ก็ออกมาตั้งคำถามอีก อยากให้นายจุรินทร์ เก็บคำถามไว้ใช้ในกระบวนการรัฐสภา น่าจะดีกว่า ท่านเองจะได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ทำหน้าที่ฝ่ายแค้นประเภทติทุกดอก ถ้าติเพื่อก่อ ก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าติเพื่อหวังผลการเมืองอันนี้รับไม่ได้" นายพร้อมพงศ์ กล่าว  

 

อย่างไรก็ตาม นายจุรินทร์ ก็เคยเป็นรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ น่าจะมองเห็นและเข้าใจถึงความลำบากของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด และภาวะศึกสงครามที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยก็ด้วย สภาพคล่องทางการเงินของประเทศ แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด หลายประเทศก็มีวิธีและใช้เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป โดยญี่ปุ่นมีมาตรการกระตุ้นด้วยการปรับลดภาษี และแจกเงินให้กับครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ

ขณะที่ สิงคโปร์อัดฉีดงบประมาณเตรียมแจกเงินเพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น กรณีเงินดิจิทัลที่รัฐบาลจะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ก็เพื่อเป็นการเอาเงินใหม่เข้าสู่ระบบ ถ้าช้งบประมาณที่เป็นงบปกติก็ไม่ได้ทำให้เงินในส่วนนั้นเพิ่มขึ้น เหมือนตักน้ำในบ่อเทลงบ่อ แล้วน้ำในบ่อมันจะไปเพิ่มได้อย่างไร ดังนั้น การกระตุ้นรอบใหม่ก็ต้องใช้น้ำในบ่อใหม่ ถึงจะถูก การออกเป็น พ.ร.บ. ก็ต้องผ่านกระบวนการรัฐสภา ที่มีนายจุรินทร์ นั่งทำหน้าที่ฝ่ายค้านอยู่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะได้ตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบได้เต็มที่  

 

"ผมไม่อยากให้นายจุรินทร์  ทำตัวเป็นหมอดู ทำนายทายทัก คาดเดาปัญหาที่ยังไม่เกิด เพื่อเตะตัดขารัฐบาล รัฐบาลมาจากพี่น้องประชาชน หาเงินได้ ใช้เงินเป็น ท่านควรจะรอทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา น่าจะดีกว่าการออกมากวนน้ำให้ขุ่น แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากฝากถึงนักร้องทั้งหลาย ที่ดาหน้าออกมาทำงานกันในช่วงนี้ด้วยว่า อยากให้ท่านทั้งหลายช่วยเห็นใจพี่น้องตาดำๆ หรือผู้ประกอบการที่เขารอเงินดิจิทัลกันด้วย นโยบายเงินดิจิทัลเป็นนโยบายที่ดี ออกมาเพื่อสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ท่านควรจะส่งเสริมหรือสนับสนุนถึงจะถูก" นายพร้อมพงศ์ ระบุ


ทั้งนี้ รัฐบาลในอดีตบริหารมีเรื่องให้ร้องให้ตรวจสอบตั้งมากมาย ตอนนั้นคนพวกนี้อยู่ตรงไหน พอเป็นรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ คนเหล่านี้รวมถึงนายจุรินทร์ กลับมาค้าน มาด้อยค่า ตนสงสัยว่าทำเพราะอคติหรือเพราะกลัวว่า ถ้ารัฐบาลทำดี บริหารเป็น และประสบความสำเร็จ เหมือนโครงการในอดีตที่เคยทำให้เห็นกันมาแล้ว จะทำให้ได้คะแนนจากประชาชนกันแน่