22 กันยายน 2566 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่ ช่อพรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป โดยระบุช่วงหนึ่งว่า มาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่สมควรให้ศาลหรือองค์กรตุลาการเข้ามาวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งปัญหาความซับซ้อนเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ยกร่างโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และคณะ ก็เอาไปโฆษณาชวนเชื่อในการทำประชามติว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มียาแรงลงโทษนักการเมือง ใครเห็นแล้วก็ต้องร้องโอ้โฮ ชื่นชมกันยกใหญ่
"จำเลยที่หนึ่งของคนเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือนักการเมือง และเมื่อคุณออกแบบมาแบบนี้คุณก็ตังค์โทษเอาไว้สูงให้น่ากลัวเกินกว่าที่คนปกติจะได้รับกันจึงเป็นที่มา และเอามาตรฐานทางจริยธรรมมาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญไม่พอ ยังเขียนให้ศาลองค์กรอิสระต่างๆ มานั่งประชุมร่วมกันและกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมา หลังจากนั้นก็ไปเขียนเพิ่มครับว่ามาตรฐานจริยธรรมแบบนี้ให้เอามาใช้กับ สส. สว. ด้วย ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งปุ๊บ คุณไม่ได้ออกมาตรฐานจริยธรรมเอง คุณต้องหยิบยืมเอามาตรฐานทางจริยธรรมที่บรรดาศาลและองค์กรอิสระเขาออกกันเอามาใช้กับพวกคุณด้วย"
นายปิยุบตร ระบุว่า ในแง่การตรวจสอบ เขาออกแบบไว้ว่าแบบที่หนึ่ง หากฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมแบบทั่วไปก็ให้องค์กรตัดสินกันเอง แต่ถ้าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงต้องไปอยู่ในมือการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จากนั้นจะส่งเรื่องไปให้ศาลฎีกาพิพากษาชั้นเดียวเท่านั้น ไม่สามารถโต้แย้งหรืออุทธรณ์ได้
"พอรัฐธรรมนูญฉบับ 60 เอาศาล เอาตุลาการมายุ่ง มันก็เลยยุ่งไปเลย เพราะอะไรครับ เพราะศาลเป็นองค์กรตุลาการที่ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท เป็นการตัดสินโดยเอากฎหมายมาตัดสิน เช่น ใครทำผิดทางอาญา เขาก็จะมีองค์ประกอบความผิดมาตราต่างๆ และมีบทลงโทษ แต่เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องความเหมาะ ความพอเหมาะพอควร ความเหมาะสมของการที่คนคนหนึ่งไปดำรงตำแหน่งและปฎิบัติหน้าที่อย่างไร ไม่ใช่ประเด็นชี้ขาดทางกฎหมาย และคำว่าจริยธรรมมันกว้างขวางเหลือเกิน หลายเรื่องไม่ได้ประเด็นความผิดทางกฎหมายที่จะมาชี้ถูกชี้ผิดโดยองค์กรตุลาการ"
นายปิยุบตร กล่าวอีกว่า โดยการกระทำของน.ส.พรรณิการ์ เป็นประเด็นที่ฝ่าฝืนจริยธรรมจริงหรือ ซึ่งคนไม่ค่อยพูดถึงกัน ตนยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งศาลลงโทษจากกรณีต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยในคำพิพากษากล่าวจำเพาะว่ามีการพาดพิงถึงสถาบัน แม้จะปิดกั้นทางเฟซบุ๊กให้เห็นเฉพาะเพื่อน แต่เพื่อนในเฟซบุ๊กมี 4,000 คน ก็ยังสามารถเห็นภาพถ่ายดังกล่าวได้
"อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่แน่นอนเราต้องยืนจากหลัก เราต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อให้คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามแต่เป็นคนละเรื่องกับการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ รูปภาพ 6 รูปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แสดงว่าเขาไม่รักษาสถาบันหรือ"
สำหรับ 2 ผลสืบเนื่องหลังคำพิพากษาของช่อพรรณิการ์ นายปิยบุตร กล่าวว่า ข้อหนึ่ง หลังจากนี้หากใครจะมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจโดนขุดดิจิทัลฟุตพริ้นท์ เอามาร้องเรียนทำให้สามารถถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตได้ ข้อสอง คือ ต่อไปนี้มาตรฐานจริยธรรมจะกลายเป็นอาวุธหนักจัดการนักการเมือง ที่มีผลร้ายแรงถึงขั้นถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตเช่นกัน เหมือนทำให้นักการเมืองต้องสยบยอม แต่หากใครอยู่เงียบ ๆ ก็มีโอกาสรอด
ขณะที่ 2 ข้อเสนอแนะ นายปิยบุตร มองควรนำเรื่องมาตรฐานจริยธรรมออกจากตัวรัฐธรรมนูญ ให้องค์กรต่างๆ จัดการกันเองภายในองค์กร ให้เขาลงโทษกันเอง กระบวนการศาลไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง ควรยกเลิกโทษเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต รวมถึงการตัดสิทธิเลือกตั้งก็ไม่ควรมี อีกทั้งแก้ไขมาตรา 98 ในเรื่องลักษณะต้องห้าม สส. ที่ได้รับโทษหนักไปแล้ว ต้องมาถูกสั่งห้ามลงเล่นการเมืองอีก มันต้องแยกออกจากกัน
นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ตนวิจารณ์พรรคก้าวไกล ว่าแสดงออกเรื่องดังกล่าวช้าไปนั้น ต้องยอมรับว่าตนอินกับเรื่องนี้มาก และคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมืองที่มีจุดยืดกับเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ การใช้นิติสงครามในการประหารกัน และน.ส.พรรณิการ์ ก็เป็นผู้เริ่มต้นก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และยังเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลอีกด้วย ตนจึงตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างตรงไปตรงมา และตนทราบดีว่ามีคนไม่เห็นด้วย และวิจารณ์กลับมาจำนวนมาก
"บ้างก็ว่าผมใจร้อน บ้างก็ว่าทำไมไม่ดูไลน์กลุ่ม ทำไมไม่ส่งไลน์กันภายใน ทำไมต้องมาพูดข้างนอก ตกลงแล้วผมหวังดีกับพรรคหรือเปล่า ผมเรียนว่าที่ท่านวิพากษ์วิจารณ์ผมมาทั้งหมด ผมอ่านหมด และน้อมรับเป็นธรรมดาที่บุคคลสาธารณะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเรื่องปกติ บางคนก็บอกให้ผมไปคุยกับสส.เงียบๆ ให้ยกหูหา แต่คำถามคือในทางกฎหมาย ผมถูกห้ามอยู่แล้วในเรืองการครอบงำ และในทางความเป็นจริงผมไม่มี โอกาสเข้าไปแนะนำ แนะแนวอะไรในพรรคก้าวไกล เว้นแต่จะเจอสส.ในชีวิตประจำวัน หากมีอะไรก็พูดคุยกัน แต่ผมไม่ได้เข้าไปสั่งสอน หรือให้คำปรึกษาภายในพรรคเลย"
โดยถ้าสถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะที่ไม่พร้อมจะฟังการพูดอย่างตรงไปตรงมาของตน “นับตั้งแต่นี้ผมจะพยายามไม่พูดถึงพรรคก้าวไกล” และต่อไปนี้ตนจะไม่พูดอีกแล้ว เพราะมีคนไม่เห็นด้วยไม่พอใจเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุดข้อเขียนสุดท้ายนี้ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองไทย ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลรวมถึงผู้ที่สนับสนุนด้วย
นอกจากนี้ ทำให้ต้องคิดทบทวนว่า ถ้าสถานการณ์ไม่พร้อมฟังการพูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนี้จะไม่ขอพูดถึงพรรคก้าวไกล แต่จะมีอีกข้อเขียนสุดท้ายที่ระบุถึงพรรคก้าวไกล ต่อจากนั้นจะไม่พูดถึงอีก โดยอาจให้ลองนำข้อเขียนนี้ไปพิจารณาเพราะอาจเป็นประโยชน์กับพรรคก้าวไกล
นายปิยบุตร กล่าวว่า ตอนนี้เกิดอารมณ์เบื่อขึ้นมา ไม่รู้จะพูดอะไรที่เป็นสาธารณประโยชน์ พูดไปก็ทัวร์ลงทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายผู้สนับสนุนเพื่อไทย และฝ่ายผู้สนับสนุนก้าวไกล จึงมาคิดว่าจะไปพักผ่อนอยู่สบายๆ ดีกว่า งดบทบาทในการแสดงความคิดเห็นทางสาธารณะ จากนี้ขอไปเขียนวิจารณ์เรื่องอื่นดีกว่า พอเขียนเรื่องการเมืองก็มาทุกทิศทุกทาง ขอนั่งทบทวนคิดถึงตัวเองบ้างว่า ทำไปทำไม แสดงออกให้คนมาเกลียดเราทำไม
"จากนี้ขอเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เอาเวลาไปเขียนหนังสือ และตำราที่เขียนค้างไว้ตั้งแต่เป็นอาจารย์ โดยมหาวิทยาลัยต่างๆ หากคิดว่าผมยังมีประโยชน์ จะเชิญไปสอนหนังสือหรือบรรยายก็ยินดี คิดว่าน่าจะถึงเวลายุติเรื่องพวกนี้สักที และกลับไปทำงานวิชาการหรือเขียนตำรา เรื่องการเมืองก็ให้เขาว่ากันไป"