
โดย "ดร.สติธร ธนานิธิโชติ" ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ได้ขยายความเรื่องผ่านรายการพิเศษ "สแกนบ้านใหญ่" ทาง "เนชั่นทีวี" โดยเฉพาะสถานการณ์ของ "บ้านใหญ่" ที่ต้องเจอกับ "บ้านใหม่" ในการเลือกตั้ง 66 นั้น เมื่อปี่กลองการเมืองมันเชิดมากๆ จะพบว่า ในโมเดลแบบบ้านใหญ่ บ้านใหม่ มันพอจะเห็นเค้าลางในการเลือกตั้งสนามท้องถิ่น ที่พรรคก้าวไกลหรือคณะก้าวหน้าเคยประสบความสำเร็จในบางพื้นที่ แม้ว่าอาจจะไม่ชนะ แต่ก็ยังเป็นที่สอง
ดร.สติธร ขยายความต่อว่า นั้นเป็นเพราะบริบทบ้านใหญ่ของแต่ละจังหวัด แล้วมีบ้านใหม่ บ้านเล็ก บ้านรอง ถามว่า ถ้าเขาอยากเอาชนะบ้านใหญ่ เขาต้องทำอย่างไร เขาต้องการกระแสเข้ามาเติม ซึ่งพวกบ้านรองๆนี้แหละ อาจจะวิ่งเข้าหาพรรคก้าวไกลในโค้งสุดท้าย
"เพราะเขาประเมินแล้วคนอายุต่ำกว่า 30 ปีในเขตเราก้าวไกลหมด ถ้าพวกนี้เราไปใช้ระบบอุปถัมภ์ที่ทำมา ก็ไม่ได้ด้วย เราอาจะอุปถัมภ์พ่อแม่ปู่ย่าเขาได้ แต่พอไปคุยรุ่นลูกเขาไม่ได้แล้ว เขาไม่เอาด้วยแบบเดิมๆ เขาบอกเขาชอบพรรคนี้ ในเมื่อเราไม่สามารถไปเปลี่ยนใจเขาได้ เราก็เปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในพรรคที่เขาชอบ เพื่อที่จะได้กระแสบวกกับตัวเองก็มีฐานเสียง"
ชมคลิป >>> สแกนบ้านใหญ่ ตระกูลการเมือง
ดร.สติธร ฉายภาพให้เห็นอย่างกรณี พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ไม่มีเพื่อไทย คนกลุ่มนี้ก็ไปเทลงพรรคอนาคตใหม่ แต่คำถาม คือ คนกลุ่มนี้พอ 4 ปีผ่านไป เพื่อไทยไปบอกว่า คราวที่แล้วผิดพลาดไป คราวนี้เอาเพื่อไทยไปลง จะเปลี่ยนใจไปเลือกเพื่อไทยหรือเปล่า ตรงนี้เป็นโจทย์ที่เพื่อไทยคิดอยู่
"ครั้งที่แล้ว เพราะว่าไม่มีตัวเลือก คนก็เลยเทไปที่อนาคตใหม่ ด้วยกัน 2 ก้อน คือ ก้อนอิสระกับก้อนที่เป็นจัดตั้ง ครั้งนี้เพื่อไทยจะกลับไปทวงคืนจากก้าวไกล กลุ่มที่จัดตั้งอาจจะพอได้ แต่กลุ่มที่เป็นอิสระเอาอะไรไปดึงดูดเขา"