2 เมษายน 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่และแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก ที่สวนชมน่าน จ.พิษณุโลก
นายธนาธร เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง “หมออ๋อง” นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 ระบุว่า หมออ๋องเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ที่ตนภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ทำงานด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ด้วยความกล้าหาญ สู้กับความไม่เป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งนี่จะทำให้ชัยชนะของหมออ๋องมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การเมืองแบบนี้ ที่ไม่ใช้เงินซื้อเสียง ซื้อหัวคะแนน ยั่งยืนเป็นจริงได้หรือไม่ และถ้าหมออ๋องพ่ายแพ้อาจจะไม่มีใครกล้าสร้างการเมืองแบบตรงไปตรงมาแบบนี้อีก
ดังนั้น เพื่อรักษาการยืนระยะ สร้างการเมืองใหม่แบบนี้ได้ หมออ๋องต้องป้องกันแชมป์ให้ได้ และชะตากรรมของการเมืองแบบใหม่นี้ อยู่ในมือของชาวพิษณุโลกเขต 1 ทุกคน
นายธนาธร กล่าวต่อ ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ตนและเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกันมา มีความฝันและภาพประเทศไทยที่เราอยากอาศัยอยู่ เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานได้เติบโต ขึ้นมาแบบหนึ่งร่วมกัน อย่างเช่น ส.ส. ที่ต่อสู้เรื่องค่าไฟแทนประชาชน อภิปรายในสภาฯอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าบอกว่าที่นายทุนรวยเป็นแสนล้านเพราะนโยบายค่าไฟเอื้อประโยชน์ให้นายทุน บอกรัฐบาลว่า ต้องแก้ไขนโยบายตรงนี้ ถูกกลุ่มทุนพลังงานฟ้อง 100 ล้านบาท เราก็ยังไม่หวั่นไหวเกรงกลัว นี่คือความฝันของเราที่อยากเห็นประเทศไทยที่มีความเป็นธรรม ทุกคนมีโอกาสทำมาหากิน ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม
เราอยากเห็นภาพ คือรัฐสวัสดิการ ที่จะมาตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ที่มีเกษตรกรหลายคนเป็นหนี้ ธ.ก.ส. ที่ทำงานทั้งชีวิตจนวันตาย ก็อาจจะยังใช้หนี้ไม่หมด แล้วยังต้องตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นอีก บางคนก็ต้องเป็นหนี้ กยศ. พอเรียนจบเริ่มต้นชีวิตก็ติดลบไปแล้ว สำหรับคนหนุ่มยังต้องมาเจอกับการเกณฑ์ทหาร เอาวัยที่สุกสกาวในชีวิตไปรับใช้บ้านนายพล นี่คือชีวิตของคนจน เราจึงต้องการสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมา นี่คือสังคมที่เราอยากเห็น ที่ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนตาย ยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
สังคมที่พรรคก้าวไกลอยากเห็นคือ สังคมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างเช่นในการเดินทาง ด้วยการมีรถเมล์สาธารณะทั่วประเทศ ทุกวันนี้คนต่างจังหวัดที่ไม่มีรถต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ไม่มีขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพ พรรคก้าวไกลอยากเห็นทุกคนใช้ชีวิตประจำวัน ไปจ่ายตลาด ไปเรียนหนังสือ ไปโรงพยาบาล มีรถเมล์ไฟฟ้าใช้อย่างแพร่หลาย ให้มีการขนส่งสาธารณะที่ดี ไปไหนไกลๆ ก็ค่อยใช้รถยนต์ แล้วเอาความต้องการรถเมล์นั้นมาสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ ไม่ใช่ซื้อรถเมล์จากจีน จ้างคนจีนทำงานอีกต่อไป
เรามีสังคมที่ปรารถนา อยากเห็นร่วมกันในอีก 20 ปีข้างหน้า ที่ต่างจากสังคมปัจจุบัน นี่คือนโยบายของพวกเรา แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ไม่ง่าย เป็นการเดินทางที่ยาวนาน ต้องใช้ความพยายามแน่วแน่ทางการเมืองอีกมาก และเราต้องการพลังใหม่ๆ เข้าไปขับเคลื่อน ไม่อยู่ในระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ๆ ที่ไม่กล้าไปแตะต้องโครงสร้างแบบเดิม ๆ และต้องกล้าทะเยอทะยาน ทุกวันนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย วิ่งหนีเราไปแล้ว เวียดนาม อินโดนีเซีย กำลังจี้ท้ายเรามาติดๆ
ดังนั้น จะพาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ ต้องกล้าทะเยอทะยาน ทำในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นเรื่องสุดโต่ง เช่น การกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นความปกติของโลกที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่อย่างใด ถ้าไม่กล้าทะเยอทะยานตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าเราก็ต้องอยู่แบบนี้กันต่อไป นั่นคือที่มาของคำขวัญ กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม
การจะเดินทางไปถึงจุดนั้นได้ ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีก นั่นคือ การขยายความคิด ต่อสู้ทางความคิด ในเส้นทางการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกล ทำให้คนเห็นถึงอนาคตแบบที่เราอยากสร้าง ที่เป็นประชาธิปไตย เท่าเทียม ไม่มีการทุจริต ไม่มีเส้นสาย ลูกหลานมีงานที่มั่งคงทำ
แต่จะชนะทางความคิดเช่นนี้ได้ พรรคก้าวไกลต้องการทุกคน ประเทศไทยมีคน 66 ล้านคน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 กว่าล้านคน เราไม่สามารถไปพบหน้า อธิบายให้ทุกคนฟังได้หมด แล้วยังมีความพยายามปล่อยข่าวปลอมออกมาทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคก้าวไกล มีขบวนการไอโอที่ทำอย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องขอแรงทุกคนร่วมต่อสู้ไปกับพรรคก้าวไกลด้วยกัน ในการขยายความคิดไปสู่คนให้มากที่สุดให้ได้
“อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง โอบรับมัน พร้อมเผชิญหน้ากับโลกและความท้าทายใหม่ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไม่ดีขึ้นแน่ ๆ โอบรับมัน ผมฝากทุกคนเป็นปากเสียงให้เราด้วย เอาความตั้งใจปรารถนาดีของพวกเราไปบอกเพื่อนข้างบ้าน เอาสังคมที่เราวาดฝันไปบอกเพื่อนที่ทำงาน เอาความมุ่งมั่นตั้งใจของเราไปบอกต่อแม่ค้าในตลาด นี่เท่านั้นที่จะทำให้สังคมที่เราอยากเห็นเป็นจริงได้ ประเทศไทยในอนาคตจะเดินหน้าไปแบบไหน โอกาสในการพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอยู่ในมือของทุกคน” นายธนาธร กล่าวในที่สุด