ทั้งๆ ที่นโยบายที่พรรคการเมืองแข่งกันนำเสนออย่างดุเดือดอีกนโยบายหนึ่ง คือ "ปราบยาเสพติด"
เนื่องจากในรอบหลายปีที่ผ่านมา ยาเสพติดระบาดหนักมาก มีโศกนาฏกรรมจากน้ำมือคนเสพยามากมาย แต่นโยบายแบบนี้อาจแรงขึ้นในห้วงเวลาหลังจากนี้ หากมีสถานการณ์อะไรมาเกื้อหนุน
แต่นโยบายปราบยาเสพติดของพรรคการเมืองที่นำเสนอต่อสาธารณะ ปรากฏว่าทั้ง "กูรู - ผู้รู้ - นักวิชาการ" กลับมองว่าไม่มีเนื้อหาสาระในเชิงยุทธศาสตร์ วิธีการ และกลยุทธ์ ในการแก้ปัญหาจริงๆ มีแต่วาทกรรมที่หวังให้โดนใจเท่านั้น
"เนชั่นทีวี" ได้รวบรวมตัวอย่างนโยบายจากบางพรรคที่มีการประกาศมาแล้ว เช่น
พรรคเพื่อไทย
ต้องปราบด้วย 3ป.
1.ปราบผู้ผลิตยาเสพติด เจอเมื่อไหร่จับเมื่อนั้น
2.เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำลายแหล่งผลิต และเจรจาการค้าเสรีเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน
3. เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย
พรรคประชาธิปัตย์
"ปะฉะดะ" คือ เอาจริงเอาจัง
-ปะ คือ ดำเนินการ
-ฉะ คือ ทำทุกรูปแบบไม่กลัวเกรงอิทธิพล
-ดะ คือ ไม่เลือกหน้า
1.ยกระดับ ป.ป.ส. ยุคใหม่
-ให้อำนาจสอบสวน สืบสวนคดี เพื่อคานอำนาจตำรวจท้องที่
-ให้มี ป.ป.ส. ดูแลทุกจังหวัด
2.ให้โอกาส ลดโทษ ผู้เสพต้องได้รับการบำบัด ไม่มีประวัติอาชญากรรม
-ถ้าเสพซ้ำต้องเข้ากระบวนการยุติธรรม "ผู้เสพจับซ้ำต้องย้ำคุก"
3.ตั้งอาสาสมัครป้องกันภัยทุกหมู่บ้าน แต่ละชุมชนมี 4 คน มีเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนให้
4.เพิ่มโทษหนักกับกรณีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็น และเอาผิดผู้บังคับบัญชาหากลูกน้องไปเกี่ยวข้อง
5.สร้าง "ศูนย์บำบัดยาเสพติดมีคุณภาพ" ในทุกจังหวัดทั่วไทย
พรรคเสรีรวมไทย
นโยบายยาเสพติดเป็น 0
-ตั้งเป็นวาระแห่งชาติ และบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
-มีบทลงโทษที่รุนแรงทั้งผู้ขาย, ผู้เสพ, ผู้สนับสนุน รวมทั้งผู้รับประโยชน์ทั้งข้าราชการ และนักการเมือง
พรรคไทยสร้างไทย
-ปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก
-นำผู้เสพมาบำบัดรักษาอย่างรวดเร็วครบวงจร
โดย ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัฒน์ จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย และสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความเห็นเอาไว้แบบนี้
-นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดของพรรคการเมือง ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
-ปัญหายาเสพติดซับซ้อนขึ้นมาก แต่เมื่อได้เห็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ทำให้เกิดคำถามว่า พรรคการเมืองมีความเข้าใจปัญหาลึกซึ้งเพียงใด เพราะ
1.การจับกุมสกัดกั้นยาเสพติดในปัจจุบัน แม้ว่าการป้องกันตามแนวชายแดนจะเข้มข้น แต่กลับพบว่าปริมาณยาที่ผลิตจากกลุ่มผู้ผลิตไม่ได้ลดลงเลย แถมเพิ่มอีกต่างหาก เป็นการเพิ่มทั้งกำลังการผลิต และศักยภาพในการขนส่งสู่แนวชายแดนไทย
ฉะนั้น การจับกุมยาเสพติดภายในประเทศ จึงไม่ส่งผลต่อการลดลงของยาเสพติด เนื่องจากขบวนการลักลอบนำเข้า ยังรักษาสมดุลของตลาดเอาไว้ได้
2.การจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายใหญ่ แม้จะแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมหันไปมองปัญหาใหม่ คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ลักลอบขนยาเสพติด เพราะคือกลไกสำคัญในการลำเลียงยาเข้าประเทศไทย
3.พื้นที่ชายแดนทางภาคเหนือมีความซับซ้อนมากว่าเดิม เนื่องจากกลุ่มเด็กและเยาวชนตามชุมชนชายแดน ติดยาเสพติดมากขึ้น
4.การแก้ปัญหาให้ถูกจุด ต้องพุ่งเป้าไปที่แหล่งผลิต และขบวนการลักลอบลำเลียง ส่วนการจับที่ปลายทาง รวมทั้งมาตรการยึดทรัพย์ที่หลายพรรคการเมืองหาเสียง เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และไม่ได้ยั่งยืน
5.ความท้าทายของนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดของพรรคการเมือง คือ ต้องเสนอนโยบายที่มองเห็นภาพการจัดการทั้งกระบวนการ ตั้งแต่แหล่งผลิต การลักลอบนำเข้า ชุมชนตามแนวชายแดน ขบวนการขนส่ง แหล่งพักยา และการใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก
บทสรุป คือ "ยังไม่มีพรรคไหนเสนอได้ใกล้เคียงกับสภาพจริงของปัญหา"