ความขัดแย้งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาของเมียนมา แม้ว่ามูลเหตุมักจะถูกทำความเข้าใจว่าเป็นผลมาจากการต่อต้านรัฐประหารแต่โดยเนื้อแท้แล้วจะพบว่าเป็นความขัดแย้งของสงครามคู่ขนานกันโดยเฉพาะ "สงครามเพื่อการปฏิวัติและสงครามความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์"
สถานการณ์ลักษณะนี้ จะปรากฏออกมาในรูปแบบ ของ สงครามกลางเมือง ที่เกิดขึ้นแบบซ้อนทับกัน ฉะนั้นความรุนแรงของสงคราม จึงไม่สามารถถูกหยุดอยู่เฉพาะการพยายามสร้างการเจรจาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่จะเกิดการเจรจาได้ในอนาคต และมักจะถูกตั้งต้นจากสิ่งที่เรียกได้ว่าความเหนื่อยล้าและเกมส์สงครามว่า จะมีฝ่ายใดเสียเปรียบ และแน่นอนว่าหากฝ่ายรัฐเสียเปรียบ การเจรจามักจะถูกหยิบยกมาพูดคุย ทั้งเพื่อการประวิงและรอช่วงเวลาให้สามารถฟื้นกำลังกลับมาสู้รบใหม่ได้อีกครั้ง
เมื่อพิจารณาโดยหลักคิดนี้แล้วจะพบว่า การต่อต้านกองทัพเมียนมา ตลอดทั่วทั้งประเทศนั้น การก่อร่างสร้างพันธมิตรของกองกำลังปกป้องประชาชน (PDF) มิได้กระทำอย่างโดดเดี่ยวแต่เป็นการผนึกร่วมกับพันธมิตรของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์
โดยเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มชิน (CNF) กลุ่มคะฉิ่น (KIA) กลุ่มคะยาห์ (KNPP) และ กลุ่มกะเหรี่ยง (KNLA) ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในเชิงอุดมการณ์และสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างมีความก้าวหน้าและก้าวกระโดด โดยเฉพาะการควบคุมการเคลื่อนย้ายพื้นที่ของกองทัพ
รวมทั้งการปิดล้อมทั่วทั้งประเทศ แม้ว่าจะประสบความสูญเสียแต่อาจจะเรียกได้ว่า นี่คือการฟื้นคืนของกองกำลังในรอบ 20 ปี สิ่งที่ต้องแลกมาด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือตลอดระยะเวลาที่สองปีที่ผ่านมานั้น กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์แบกรับความสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้เสียชีวิต ของผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ และผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ
ในอีกด้านหนึ่งการก่อร่างสร้างพันธมิตรจาก "ข้อตกลงหยุดยิงทั้งประเทศ" จากการรัฐประหารตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การเข้าไปเจรจาของกลุ่มไทใหญ่ใต้ (RCSS/SSA) กับกองทัพเมียนมาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการใช้เหตุผลเรื่องการยุติความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองภายในประเทศ ที่ดำเนินต่อมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาของไทใหญ่ในครั้งนี้ จะพบว่ามีลักษณะ "แตกต่าง" ตามความต้องการของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ร่วมลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทั้งประเทศ (NCA) อันได้แก่ กลุ่มมอญ(NMSP) กลุ่มละหู่ (LDU) กลุ่มกะเหรี่ยง(DKBA) กลุ่มปะโอ(PNLO) กลุ่มกะเหรี่ยง (KNLA-PC) การเดินทางเข้าไปสู่การเจรจาของกลุ่มพันธมิตรดังกล่าว เป็นการเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อทำให้ข้อตกลงหยุดยิงทั้งประเทศไม่หยุดชะงักลง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเจรจาของทั้ง 5 กลุ่มนี้ จะสามารถทำให้ข้อตกลงหยุดยิงทั้งประเทศหรือกระบวนการสันติภาพ เป็นประโยชน์ต่อทุกกลุ่มได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเจรจาภายใต้กรอบ NCA ทั้งประเทศ แต่ละกลุ่มก็มีธงในการรักษาผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มอยู่เช่นเดิม
กลุ่มพันธมิตรที่สาม ที่อาจจะเรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากที่สุด หรืออาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าสองกลุ่มข้างต้นนั่นก็คือ กลุ่มอดีตพันธมิตรภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อเป็นทางการว่า FPNCC อันได้แก่กลุ่มว้า (UWSA) กลุ่มเมืองลา(NDAA) กลุ่มไทใหญ่เหนือ (SSPP/SSA) กลุ่มโกกั้ง (MNDAA) กลุ่มอาระกัน (AA) และกลุ่มตะอ้าง(TNLA)
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองและการทหาร ที่มีความเข้มแข็งสามารถสร้างอำนาจต่อรองกับกองทัพเมียนมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภายหลังการรัฐประหารเป็นต้นมานั้น จะพบว่ากลุ่มพันธมิตรเหล่านี้ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาและพบปะกับผู้นำระดับสูงของกองทัพเมียนมาเป็นระยะ
พร้อมทั้งการยื่นข้อเสนอ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง โดยเฉพาะเขตการปกครองตนเองเป็นการเฉพาะ อาทิ กลุ่มว้า (UWSA) ต้องการสร้างรัฐว้าหรือแม้แต่กระทั่ง การเจรจาต่อรองว่า การให้ความร่วมมือในการเจรจากับกองทัพ ในครั้งนี้เป็นการรักษาไว้ซึ่งความสงบภายในประเทศและไม่แทรกแซงกิจการภายใน ที่เป็นของคนพม่าแท้
ความน่าสนใจของการแตกแยกออกเป็นกลุ่มพันธมิตรทั้งสามกลุ่ม ของกลุ่มชาติพันธุ์นี้จะพบว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ภายหลังจากการรัฐประหารดำเนินมาเกือบสองปี บางกลุ่มที่ไม่เคยให้ความร่วมมือ หรือแสดงท่าทีในการสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ หรือกองกำลังป้องกันปกป้องประชาชนนั้น เริ่มแสดงท่าทีสนับสนุนโดยทางอ้อมหรือ "สนับสนุนทางยุทธศาสตร์"
โดยการไม่แสดงออก เช่น กลุ่มพันธมิตรภาคเหนือ หรือแม้แต่กระทั่งกลุ่มว้าเอง ไม่ยินยอมตอบตามข้อตกลงกับกองทัพเมียนมาครั้งล่าสุด ว่าจะไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้ว จะพบว่ากลุ่มโกกั้ง (MNDAA) หรือแม้แต่กระทั่ง กลุ่มกองกำลังตะอ้าง (TNLA) ยังมีกำลังพลเพิ่มเติม อันเนื่องมาจากการหลบหนีปราบปรามกองทัพเมียนมา จนทำให้คนหนุ่มสาว เข้ามาร่วมกองกำลังอยู่ ซึ่งในช่วงปีแรกไม่เคยถูกเปิดเผยมากมายนัก แต่เมื่อเข้าใกล้ช่วงครบรอบการรัฐประหาร 2 ปี จำนวนกำลังคนใหม่ที่ปรากฏขึ้นกลับกลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่เคยถูกปราบปรามจากกองทัพเมียนมา
การสลับสับเปลี่ยนพันธมิตรได้อย่างน่าสนใจดังกล่าว ในข้างต้นนี้อาจจะเรียกได้ว่าจุดหมายปลายทางในการเลือกตั้งของเมียนมา ที่เคยถูกตั้งไว้ในเดือนสิงหาคมในปีนี้ จะสามารถเกิดขึ้นได้แต่จะไม่สามารถยุติสงครามกลางเมือง และชนะในเชิงการเมืองในประเทศของตนเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเลือกตั้งจึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่ และจะถูกตราหน้าอย่างชัดเจนว่า เป็นการสืบทอดอำนาจของกองทัพ
ในท้ายที่สุดแล้วการสลับสับเปลี่ยนพันธมิตรที่เกิดขึ้นในข้างต้นนี้ คือเงื่อนไขในการต่อรองกับกองทัพเมียนมา โดยทางอ้อมเพราะไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลยว่า กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยพูดคุยกับกองทัพเมียนมา จะไม่หันมาสู้รบกับกองทัพเมียนมา และในอีกด้านหนึ่งกองกำลังที่เคยร่วมสนับสนุนกองทัพเมียนมาอย่างใกล้ชิด ในช่วงขณะที่กลุ่มอื่นต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอาจจะสุ่มเสี่ยง"ถูกทิ้งไว้อย่างข้างหลัง"
ปี พ.ศ. 2566 นี้ จึงเป็นปีแห่งการพิสูจน์ การสร้างพันธมิตรอันแนบแน่น ภายใต้เบื้องหลังสงครามคู่ขนาน ทั้งสงครามปฏิวัติและความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ว่า "การสร้างพันธมิตรทั้งเบื้องลึกและเปิดเผยคือหัวใจของสงครามรอบใหม่" ซึ่งในท้ายสุดแล้วกลุ่มที่สร้างพันธมิตรได้มากกว่า และมีความเข้มแข็งมากกว่าคือ "ผู้ที่กุมความได้เปรียบในสงคราม"