27 มีนาคม 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการจัดเวทีปราศรัยในกรุงเทพฯ ว่า จัดทุกสัปดาห์ โดยแบ่งตามโซน สัปดาห์ที่แล้วเป็นกรุงเทพฯเหนือ สัปดาห์นี้จะจัดโซนกรุงธนเหนือ คือ ใต้สะพานพระราม 8 โดยจะมีการจัดกรรมการบริหารพรรคไปช่วยลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครในเขตต่างๆ นอกจากนี้จะมีการปราศรัยใหญ่อีกครั้งที่กรุงเทพฯก่อนการเลือกตั้ง และคาดว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็จะขึ้นเวทีปิดการหาเสียงที่กรุงเทพฯแน่นอน
กรณีผลสำรวจนิด้าโพล ที่ชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ติด 1 ใน 10 นั้น นายสกลธี กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เป็นกังวล การทำโพลในช่วงนี้ต้องดูให้ดีว่า ใช้ตัวอย่างเท่าไร วัดที่ไหนอย่างไร เพราะตนคิดว่าเป็นการหยั่งกระแสบางพื้นที่เท่านั้น คงวัดกระแสโดยรวมไม่ได้ พรรคพลังประชารัฐเองก็มีการทำโพลอยู่แล้ว เมื่อมาเทียบกันก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ พล.อ.ประวิตร จะไม่ติด 1 ใน 10 จึงขอตั้งข้อสังเกตไว้ และโพลก็เป็นเพียงกระแสช่วงนั้นและไม่ทั่วถึง ดังนั้นเรื่องของกำลังใจแต่ละพื้นที่ไม่มีปัญหา เพราะชนะในหน้ากระดาษโพล แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่สอดคล้องกันก็ได้
สำหรับผลสำรวจของพรรคพลังประชารัฐ จะมีของแต่ละภาค โดยในกรุงเทพฯก็มีทั้งโพลออนไลน์ และโพลคนเดินมาประกอบกัน ซึ่งช่วง 40-50 วันจะเลือกตั้งก็จะแบ่งเป็นช่วงๆ และแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะทำ เพื่อใช้ประเมินในการปรับเกณฑ์และแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งจากโพลของพรรค หัวหน้าพรรคก็ติดในโพลทุกครั้ง แต่ทั้งนี้โพลก็มีผลต่อการชี้นำ จึงต้องดูความน่าเชื่อถือของโพลด้วย โพลที่ออกมาอาจจะดูขัดหรือค้าน ที่พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคแต่ไม่ติดอยู่ 1 ใน 10 ของโพลเลยคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงวัดอะไรตอนนี้ไม่ได้
ทั้งนี้ ช่วงโค้งสุดท้าย จะมีเวทีดีเบตของแต่ละสื่อก็จะมีผู้ใหญ่ของพรรคไปร่วม แต่ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะก็จะเจาะจง ส่งคนที่ถนัดไป โดยพื้นที่กรุงเทพฯ ตนมองว่า กระแสเป็นเรื่องสำคัญ บุคคลก็ส่วนหนึ่ง ซึ่งในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายสำคัญที่สุด ที่จะวัดว่าจะเป็นไปในทิศทางใดและจากการหารือกับหัวหน้าพรรค ยังอยากได้จำนวนส.ส.เท่าเดิม คือ 12 ที่นั่งหรือบวกลบ
ส่วนจุดขายของพรรคพลังประชารัฐ ที่เกี่ยวกับคนกรุงเทพฯ จะเป็นในเรื่องภาพรวม เพราะกรรมการบริหารแต่ละคนที่มาดูแลกรุงเทพฯล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นเรื่อง
ปัญหาและทางแก้เรามีอยู่แล้ว ส่วนการเสนอนโยบาย เราจะเสนอในแนวภาพรวมที่จะพัฒนากรุงเทพฯ เพราะรู้ว่าปัญหาของกทม.ไม่ได้มีเจ้าภาพที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นจึงเสนอกองทุนประชารัฐพัฒนาขึ้นมา ซึ่งจะเอาตัวนี้มาช่วยแก้ปัญหาให้กับกรุงเทพฯ อีกทาง
พล.อ.ประวิตรก็บอกแล้วว่า เราสามารถทำงานได้กับทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล คงเห็นรัฐบาลพลังประชารัฐ ทำงานร่วมกับท้องถิ่นคือกรุงเทพมหานครอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า มองพรรคไหนเป็นคู่แข่งในสนามกทม. นายสกลธี กล่าวว่า เหมือนแข่งกับตัวเองมากกว่า เพราะทุกพรรคมีการนำเสนอที่ดี แต่เรามีการนำเสนอที่แตกต่าง ถ้าสังเกตจะเห็นว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ จะไม่เจาะไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่จะนำเสนอในภาพรวมในการแก้ปัญหากรุงเทพฯทั้งระบบ รวมถึง 5 จังหวัดรอบๆให้พัฒนาไปพร้อมๆกันด้วย