27 มีนาคม 2566 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ปรึกษาคณะทำงานโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวประเด็น “นโยบายลดราคาแก๊สเพื่อประชาชน” ว่า เมื่อปี 2560 กบง. เปิดเสรีธุรกิจแก๊สแอลพีจีเต็มรูปแบบ ทำให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2560 เป็นต้นมาราคาต้นทางขึ้นไม่หยุด ทำให้ราคาแก๊สสูงขึ้นต่อเนื่อง ราคาแก๊สปัจจุบัน ณ วันที่ 1 มีนาคม 2566 อยู่ที่ถังละ 423 บาท และรัฐบาลให้ตรึงราคานี้ไว้จนถึง30 มิถุนายน 2566 แต่หลังการเลือกตั้งหากไม่ตรึงราคา แก๊สจะพุ่งไปถึง 513 บาท
ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐจึงมีนโยบาย รื้อและการปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อให้ประชาชนค้นหายได้รับความสุขความเป็นธรรมและเกิดความโปร่งใสเป็นใช้งบประมาณรายได้ของรัฐให้ถูกที่ถูกทาง ซึ่งจะลดราคาแก๊สเพื่อประชาชน ถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม จากราคา413 บาทลง 173 บาท เหลือ 250 บาท โดยรัฐจะต้องอุดหนุน 11.53 บาทต่อแก๊ส 1 กิโลกรัม ในระยะเวลา 1 ปี จะทำให้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 24,000 ล้านบาท มาอุดหนุนเพื่อให้ได้ราคา 250 บาทต่อถัง
โดยเงินที่นำมาอุดหนุน 24,000 ล้านบาทนี้ จะมาจากการเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้ ปรับลดราคาจาก 279 - 324 บาทต่อล้านบีทียู เหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียู จึงจะทำให้รายได้กลับคืนสู่ภาครัฐมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 24,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับนโยบายนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้รับทราบและเห็นด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือประชาชนในเรื่องของความเป็นอยู่ อยากให้คนไทยทั้งประเทศได้ดำเนินชีวิตอยู่ได้ และมีความสะดวกสบายขึ้นจากราคาน้ำมันประชาชนมาสู่การลดราคาแก๊สเพื่อประชาชน
ทั้งนี้ย้ำว่าราคาแก๊สประชาชน 1 ถัง 15 กิโลกรัม จะลดเหลือ 250 บาทต่อถัง ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล นโยบายนี้จะเป็นวาระแรกๆในการเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยประชาชนจะซื้อแก๊สได้ในราคานี้เป็นระยะเวลา1 ปี และหลังจากเป็นรัฐบาล จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามนโยบายนี้เป็นเพียงแนวคิดของนายมิ่งขวัญซึ่งยังจะต้องรอเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ