พายุฤดูหนาวที่ทำให้มีหิมะตกหนัก ลมกระโชกแรง และอากาศหนาวเย็นติดลบตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 37 รายแล้วทั่วสหรัฐฯ โดยรัฐนิวยอร์กมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 17 ราย ซึ่ง 16 ราย อยู่ในอีรี เคาน์ตี และรัฐมอนทานา มีอุณหภูมิต่ำที่สุด ติดลบ 45 องศาเซลเซียส
ทางการเขตอีรี เคาน์ตี รัฐนิวยอร์ก ระบุว่า พาหนะราว 500 คัน ติดค้างอยู่บนถนนที่มีหิมะท่วมสูงช่วงค่ำวันศุกร์ถึงเช้าวันเสาร์ และผู้เสียชีวิตล่าสุดถูกพบในรถยนต์ และจมอยู่ในกองหิมะ ทางรัฐต้องส่งกองกำลังรักษาดินแดนเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในรถยนต์ หรือคนที่ติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปหาซื้ออาหารได้
เมืองบัฟฟาโลในรัฐนิวยอร์กเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากพายุ โดยมีหิมะตกวัดได้ 2-3 นิ้วต่อชั่วโมง และที่สนามบินบัฟฟาโล ไนแอการา มีหิมะตกสะสมจนถึงเช้าวันอาทิตย์วัดได้ 43 นิ้ว
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ทั้งในและรอบเมืองบัฟฟาโล บริเวณริมทะเลสาบอิรี ทางตะวันตกของรัฐนิวยอร์ก พื้นที่บริเวณนี้ถูกประกาศห้ามขับขี่บนท้องถนน เนื่องจากมีปรากฏการณ์ "หิมะที่เกิดจากทะเลสาบ" (lake-effect snow) หรือ ปรากฏการณ์ที่มวลอากาศเย็นเคลื่อนผ่านพื้นผิวทะเลสาบที่อุ่นกว่า จนน้ำบนผิวระเหยและตกลงมาเป็นหิมะตลอดช่วงสุดสัปดาห์
แคที โฮเคิล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก บอกว่า นิวยอร์กเผชิญพายุฤดูหนาวที่มีความรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานกว่าในปี 2520 ประกอบกับจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เธอถึงกับเปรียบเทียบว่า “เราอยู่ในสงคราม เป็นสงครามกับพลังแห่งธรรมชาติ” นอกจากนี้เธอ คาดหวังว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะสนับสนุนคำร้องขอของเธอที่ให้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ
ขณะที่พยากรณ์อากาศ คาดว่า พายุฤดูหนาวจะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงขณะเคลื่อนตัวขึ้นไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของแคนาดา และอากาศหนาวเย็นจากกระแสลมวนขั้วโลก (Arctic blast) จะลดความรุนแรงลงช้า ๆ จนถึงวันจันทร์
ในแคนาดาเผชิญหิมะตกหนักจากอิทธิพลของพายุนาน 3 วันแล้ว โดยรัฐออนแทริโอ และรัฐควิเบกได้รับผลกระทบหนักที่สุด และมีผู้เสียชีวิต 4 รายและผู้โดยสารบาดเจ็บอีก 50 คนจากอุบัติเหตุรถโดยสารพลิกคว่ำในรัฐบริติชโคลัมเบีย นอกจากนี้ครัวเรือนและธุรกิจอย่างน้อย 140,000 ราย ไม่มีไฟฟ้าใช้