
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กรณีผู้กองสาว ติดยศแบบก้าวกระโดด จาก ส.ต.ต.เป็น ร.ต.อ.หลังเข้ารับการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร(กอส.) แม้ว่าเจ้าตัวและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างออกมายืนยันว่า การเข้ามารับราชการตำรวจ เป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ตามระเบียบของของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกอย่าง
สำหรับผู้กองสาวรายนี้ พบว่าอยู่ในหลักสูตร กอส.รุ่นที่ 47 งบประมาณประจำปีพ.ศ. 2564 ซึ่งในหลักสูตรรุ่นนี้ พบว่ามีผู้ร่วมเข้าอบรม 353 คน แต่สุดท้ายมีผู้ไม่มารายงานตัวและลาออกไป 5 คน ทำให้เหลือผู้ที่จบหลักสูตรในรุ่นนี้ 348 คน
ในแต่ละหลักสูตรมักจะมีนามสกุลดังเข้ามาร่วมอบรมด้วยเสมอ แต่ในการฝึกทุกคนจะต้องฝึกฝนอบรมหลักสูตรเดียวกัน ไม่แบ่งชนชั้น ทุกคนต้องหมอบคลาน ฝึกวิ่งคลุกฝุ่นตามแบบทดสอบเท่าเทียมกัน เพื่อสร้างระเบียบวินัยก่อนที่จะออกไปทำงานรับใช้ประชาชน
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ ผู้หมวดรายหนึ่ง ที่เคยผ่านหลักสูตรการเข้าฝึกอบรม กอส.มาแล้ว ยอมรับว่า คนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว มีบางส่วนที่เข้ามาแล้วอาจจะไม่ทำงาน หรือต้องการที่จะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อะไรก็ตาม แต่ยังมีส่วนใหญ่ที่มีความตั้งใจอยากจะมีโอกาสเข้ามารับราชการตำรวจ
เมื่อจบหลักสูตรได้เข้าทำงานตามหน้าที่ ตามสายงานที่ได้รับมอบหมายและตามความถนัดของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นความถนัดเฉพาะตัวเมื่อเกิดกรณีแบบนี้ จึงไม่อยากให้ถูกเหมารวมไปด้วย
ในขณะที่ มุมมองอีกด้านของนายตำรวจระดับ "พ.ต.อ." ที่รับราชการในอาชีพตำรวจมากว่า 20 ปี มองว่าหลักสูตรนี้ อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับบรรดาลูกหลานคนมีชื่อเสียง หรือลูกหลานข้าราชการตำรวจ แต่ต้องชี้แจงก่อนว่า หลักสูตรการเข้ารับราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรนั้นมีด้วยกันหลายหลักสูตร เพียงแค่บุคลากรที่เรียนจบโรงเรียนนายร้อย หรือ การเลื่อนตำแหน่งจากชั้นประทวนไปชั้นสัญญาบัตรอาจไม่เพียงพอ
นายตำรวจรายเดิม บอกอีกว่าเมื่อบุคลากรไม่พอ จึงต้องเพิ่มหลักสูตรรับบุคคลเข้าเป็นตำรวจยศชั้นสัญญาบัตร มาจากการเป็น นักเรียนนายร้อยตำรวจ หรือ จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจในหลักสูตรสั้นๆ ประมาณ 1 ปีโดยคนเหล่านี้บางส่วนมาจากการสอบแข่งขัน และบางส่วนมาจากสาขาอาชีพที่ขาดแคลน ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกหลานผู้มีอำนาจมามีบทบาทในวงราชการ
บรรดาลูกหลานของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เข้ามาในหลักสูตรชั้นสัญญาบัตรนั้น หรือมีพ่อแม่รับราชการอยู่ก่อนแล้ว ก็สามารถเข้ารับราชการได้อย่างง่ายดาย และย่อมมองเห็นโอกาสการเติบโตในสายงานมากกว่าบุคคลทั่วไป อยากให้สังเกตว่าระบบราชการมีลักษณะเช่นนี้เกือบทั้งหมด ไม่เพียงแค่ในแวดวงตำรวจเท่านั้น
สำหรับเส้นทางราชการของ ผู้กองคนดัง รายนี้ ถ้าดูตามเส้นทางแล้ว ผู้กองเรียนจบระดับปริญญาโท และใช้วุฒิการศึกษาเข้ารับราชการตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ซึ่งหากจะมองว่าเป็นการข้ามชั้นยศนั้น จะต้องข้ามไปเป็นระดับสารวัตร ซึ่งการรับราชการตำรวจในระดับสารวัตรนั้น จะต้องไล่เรียงจากการเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจตรี , ร้อยตำรวจโท และ ร้อยตำรวจเอก ซึ่งทั้งหมดมีวาระการทำงาน รวมถึง วุฒิการศึกษา อยู่แล้วจึงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
เส้นทางราชการ ของผู้กองดังคนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่การจะเลื่อนตำแหน่งไปสู่ยศพันตำรวจตรี หรือ ระดับสารวัตรนั้น เจ้าตัวจะต้องรับราชการไปอีก 6-7 ปี ตามวาระ ถึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่หากเป็นระดับร้อยตำรวจเอก หรือ รองสารวัตร และปีถัดไปได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร กรณีนี้ไม่สมควร
เขายังบอกอีกว่า เมื่อเกิดกรณีในลักษณะนี้ขึ้น หากมีนายตำรวจคนใดก็ตามที่สมัครเข้ามาด้วยวุฒิปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก ก็ต้องมีการรับราชการตามยศที่ระบุไว้เช่นเดียวกันกับตำรวจหญิงคนนี้ ประมาณ 2 ปี ก็จะได้เลื่อนยศร้อยตำรวจเอก แต่หากมีการเข้ามาด้วยวุฒิการศึกษาปริญญาตรี และรับราชการไปได้สักระยะ ไปเรียนต่อปริญญาโทเพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการเลื่อนตำแหน่ง กรณีนี้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งกฎระเบียบระบุไว้ว่าต้องเป็นวุฒิแรกเข้ารับราชการเท่านั้น
สุดท้ายนายตำรวจคนเดิม ระบุอีกว่า ถ้ามองเรื่องของความเหมาะสมในการเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจนั้น ควรเป็นการสอบแข่งขันอย่างเป็นธรรม ถึงแม้จะเป็นสาขาวิชาชีพที่หายาก ก็ต้องมีการประกาศให้ประชาชนเข้าถึงได้ ซึ่งบางสาขาอาจเป็นที่ขาดแคลนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกตัวอย่างเช่นสาขานิเทศศาสตร์ แต่สาขานี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนในประเทศไทย คนที่เรียนจบสาขาเหล่านี้มีเยอะ และก็พร้อมที่จะสมัครเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งโอกาสในการเข้าถึงงานที่มั่นคง ควรจะเท่าเทียมกัน
ขอบคุณภาพจาก ศูนย์ฝึกตำรวจ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ