17 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เดินทางมายื่นหนังสือถึง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อยื่นให้ตรวจสอบ และยุบพรรคภูมิใจไทย ตาม ม.72 ที่กำหนดว่า ห้ามพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายชูวิทย์ อธิบายไล่เรียงความเชื่อมโยงถึงเหตุผลที่ต้องมายื่นให้ตรวจสอบและยุบพรรค ว่า พรรคภูมิใจไทยรับเงินมาโดยไม่ชอบ พร้อมตั้งคำถามว่า นายศักดิ์สยาม รู้อยู่แล้ว ควรจะรู้ หรือมีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ ซึ่งนายศักดิ์สยาม เป็นเจ้าของบริษัทบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และนายศักดิ์สยาม รู้อยู่แล้ว แต่ใช้อำนาจในการให้ได้งานมา
โดยให้นายศุภวัฒน์ ที่เป็นลูกน้อง เป็นนอมินีแทน และโอนหุ้นให้จำนวน 119 ล้านบาท โดยไม่มีค่าตอบแทน เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 และระบุว่า นายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นำเอาบริษัทตัวเองคือ บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่แต่งตั้งนอมอมินี ก็คือ นายศุภวัฒน์ ไปรับงานของกระทรวงคมนาคม ทั้งหมด 104 โครงการ ตั้งแต่ปี 2562-2564 มูลค่า 1,568 ล้านบาท และบริษัทบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น นำเงินไปบริจาคให้พรรคภูมิใจไทย จำนวน 4.8 ล้านบาท
ส่วนนายศุภวัฒน์ บริจาคให้พรรคภูมิใจไทย 2,770,000 ล้านบาท รวมถึงนายศักดิ์สยาม เป็นกรรมการบริษัทศิลาชัย บุรีรัมย์ 1991 จำกัด ที่มีนายศุภวัฒน์ เป็นพนักงานบริษัท มีเงินเดือน 9,000 บาท และบริษัทศิลาชัย ก็บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4.7 ล้านบาท
นายชูวิทย์ ย้ำว่า นายศุภวัฒน์ คือคีย์แมนสำคัญ เพราะไม่มีรายได้อะไร และไม่เคยเสียภาษี แต่นำเงินมาบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยได้ ดังนั้นการนำเงินไปบริจาคให้พรรค เป็นการได้เงินมาโดยไม่ถูกต้อง เมื่อต้นไม้เป็นพิษ ผลไม้เป็นพิษ ทำให้รู้อยู่แล้วหรือควรรู้ หรือมีเหตุอันต้องสงสัยหรือไม่
นายชูวิทย์ ยังอธิบายต่อไปว่า บริษัทบุรีเจริญฯ เดิม ตั้งอยู่ในบ้านของนายศักดิ์สยาม และเมื่อย้าย ก็ย้ายไปข้างบ้านของนายศักดิ์สยาม ดังนั้น ม.72 ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามพรรคการเมือง รับบริจาคเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงตั้งคำถามกลับว่า นายศักดิ์สยามรู้หรือไม่ว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้มาโดยไม่ชอบ จึงเป็นที่มาของการมายื่นให้ตรวจสอบยุบพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ และมั่นใจ 100 % ว่า หลักฐานที่มี สามารถทำให้ยุบพรรคภูมิใจไทยได้
ผมจะต้องสู้แม้พรรคภูมิใจไทยขู่ว่าจะฟ้องทั้ง 400 เขต และจะต้องหาทางทำลายคะแนนเสียง หากใครชอบก็เลือก หากใครไม่ชอบก็ไม่ต้องเลือก และมั่นใจว่าจะทำลายคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยได้เป็นกอบเป็นกำ โดยจะเริ่มการทำลายคะแนนเสียงทันทีหลังจากยุบสภา และมีการกำหนดกรอบให้มีการจัดการเลือกตั้ง
นายชูวิทย์ ยืนยันว่า สิ่งที่ผมยึดถือคือผลประโยชน์ของประชาชน และเป็นการทำหน้าที่ของประชาชน ก็คือการตรวจสอบพรรคการเมือง เพราะตนเองต้องเป็นผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้งหากได้คะแนนเสียงแล้ว ก็จะรณรงค์ต่อสู้ ไม่ให้พรรคภูมิใจไทยได้กระทรวงคมนาคมอีก เพราะทำให้นายศุภวัฒน์ ได้งานในบริษัทบุรีเจริญฯ ซึ่งเคยเป็นของนายศักดิ์สยาม ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นคนตัดสินเอง
ทั้งนี้ มองว่าการตัดสิน ของกกต. และศาลรัฐธรรมนูญ ควรจะกระทำให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หากยังไม่แล้วเสร็จ ตนเองก็จะรณรงค์ไม่ให้เลือกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นภารกิจหลัก
เห็นได้ชัดว่าพรรคภูมิใจไทย นำกัญชาออกจากกฎหมายทั้งที่ยังไม่พร้อม และสหประชาชาติรวมถึง 170 ประเทศทั่วโลก ก็บอกว่ากัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่
ส่วนที่พรรคภูมิใจไทยบอกว่าตนเองวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นประเด็นเรื่องส่วนตัว นายชูวิทย์ ยืนยันประเด็นเรื่องกัญชาจะรณรงค์ยกเลิกกัญชา เพราะมีผลวิจัยระดับโลก ไม่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยทางจิตเวช แต่ในปัจจุบันกลับพบว่ามีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชาเพิ่มขึ้น เช่นเหตุการณ์ล่าสุดที่สารวัตรกานต์ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง และก่อเหตุยิงในบ้านพัก ก็มีผลมาจากการเสพกัญชา
ระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยได้นำสบู่และกะละมัง มาโชว์การล้างมือ เพื่อตอบโต้พรรคภูมิใจไทย ที่กล่าวหาว่าตนมือสกปรก รับงานมาจากบุคคลอื่น เพื่อทำลายชื่อเสียงของพรรค พร้อมนำเทปกาวสีดำมาปิดปาก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ตนเองเป็นประชาชนตัวคนเดียว แต่ถูกปิดปากไม่ให้พูดกรณีที่พรรคภูมิใจไทย จะให้ ส.ส.ทั้ง 400 เขต ฟ้องกลับตนเอง พร้อมพูดว่า "แต่คุณปิดปากผมไม่ได้ ที่จะปิดปากเพราะคุณกลัวผม"
จากนั้นหลังแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายชูวิทย์ ได้ยื่นหนังสือถึง กกต. โดยก่อนยื่น นายชูวิทย์ได้เดินรณรงค์กลางตลาดนัด บริเวณโถงกลางศูนย์ราชการ เพื่อรณรงค์ไม่ให้เลือกพรรคภูมิใจไทย พร้อมตะโกนว่า "ห้ามเลือกพรรคภูมิใจไทย ห้ามเลือกพรรคภูมิใจไทย ถ้าใครเห็นด้วยปรบมือ"
อ่านเอกสารยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยฉบับเต็ม (คลิก)