
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แถลงนโยบายการบริหารประเทศครั้งแรกต่อที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ (25 ก.ค.) หลังจากสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อปลายเดือนที่แล้ว โดยกล่าวถึงนโยบายต่างประเทศและความขัดแย้งกับจีนเรื่องทะเลจีนใต้ โดยระบุว่า ฟิลิปปินส์จะยังคงเป็นมิตรกับทุกประเทศ แต่ก็เตือนด้วยว่า “ผมจะไม่ยอมมีส่วนร่วมในกระบวนการใด ที่จะสละดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวของฟิลิปปินส์ให้กับมหาอำนาจต่างประเทศชาติใด”
นอกจากนี้เขากล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจว่า รัฐบาลจะบริหารการคลังอย่างรอบคอบรัดกุม ปฏิรูปภาษีเพื่อเพิ่มการจัดเก็บรายได้ จัดลำดับความสำคัญรายจ่ายและปรับปรุงการใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 และส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และทำให้ประเทศเป็นเป้าหมายของการลงทุน
เขายังเสนอแนวทางปฏิรูปเกษตรกรรมเพื่อกระตุ้นการเติบโตและลดการพึ่งพาอาหารนำเข้า และพักชำระหนี้เกษตรกรเพื่อให้พวกเขาสามารถจัดสรรเงินทุนไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพการผลิต
เขายังให้สัญญาผลักดันโครงการก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้ามานาน อย่าง สนามบิน และทางรถไฟให้แล้วเสร็จ และพัฒนาพลังงานหมุนเวียน และลงโทษเข้มงวดกับบริษัทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงอาจพิจารณาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่เคยริเริ่มในสมัยของบิดา
ส่วนความท้ายจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยที่พบใหม่ เขายืนยันว่า จะไม่มีมาตรการล็อกดาวน์แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และให้สัญญาว่าจะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชนอย่างสมดุล
ในวันดียวกันนักเคลื่อนไหวชาวฟิลิปปินส์หลายพันคนเดินขบวนประท้วงในกรุงมะนิลาตั้งแต่ก่อนการแถลงของมาร์กอส จูเนียร์ โดยพวกเขาชูป้ายประท้วงที่มีข้อความเรียกร้องรัฐบาลใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงาน เงินเฟ้อ และดำเนินโนบายต่างประเทศอย่างอิสระ เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ประท้วงคนหนึ่ง บอกว่า พวกเขาไม่ลืมการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการคอร์รัปชันในสมัยอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส บิดาของมาร์กอส จูเนียร์ และบอกว่า สิ่งเหล่านั้นไม่อาจลบเลือนได้ และตระกูลมาร์กอสต้องรับผิดชอบสำหรับบาปทั้งหมดที่ทำไว้กับประเทศ