สาเหตุของความมั่นใจของรัฐบาล
1.เช็กเสียงพรรครัฐบาลทั้งหมดแล้ว ยังเกินกึ่งหนึ่ง (238-239 เสียง) แม้เสียงจะปริ่มน้ำ แต่ยังมี "งูเห่า" ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในพรรคฝ่ายค้านพร้อมโหวตช่วย
2.เสียงของพรรคเล็กกลุ่ม 16 กับพรรคเศรษฐกิจไทย จะโหวตให้ฝ่ายค้านไม่ครบตามที่อ้าง เสียงสูงสุด คือ เกือบๆ 40 เสียง แต่ในความเป็นจริงอาจได้ไม่ถึง 30 เสียง แม้แต่พรรคเศรษฐกิจไทย บางกลุ่ม ก็ยังแทงกั๊ก เพราะมีดีลไปลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นแล้ว
3.บรรยากาศการเมืองปัจจุบันแบ่งขั้วชัดเจน บีบให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมต้องจับมือกันหลวมๆ ต่อไป เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง และเมื่อตัวเลขออกมาแล้ว หากมีความเป็นไปได้ที่จะรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะเลือกพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิมก่อน โดยปัจจัยพลิกผันมีเพียงประการเดียว คือ พรรคเพื่อไทยไม่ชนะแบบแลนด์สไลด์ และจะดีไปกว่านั้น หากคะแนนของพรรคเพื่อไทย รวมกับพรรคก้าวไกลยังไม่เกินกึ่งหนึ่ง
ที่ผ่านมา ก่อนการโหวตพลิกสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์เป็นหาร 500 มีการประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล และมีการหารือกันกว้างๆ เกี่ยวกับตัวเลขประมาณการณ์ ส.ส.จากการเลือกตั้ง ซึ่งภายหลังทีมยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นำมาประเมินแบบต่ำสุดอีกครั้ง แบบไม่เข้าข้างตัวเอง ตัวเลขออกมาเป็นแบบนี้
-พรรคพลังประชารัฐ ประมาณ 60 เสียง กรณีที่ฟื้นคะแนนนิยมกลับมาไม่ได้ แต่ ส.ส.บ้านใหญ่ไม่ไหลออกมากนัก
-พรรคภูมิใจไทย ประมาณ 60-70 เสียง กรณีที่นโยบาย "ปลดล็อกกัญชา" ถูกโจมตีจนไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมได้ตามคาด
-พรรคประชาธิปัตย์ ประมาณ 50-60 เสียง กรณีที่ฟื้นคะแนนนิยมในภาคใต้ กับ กทม. กลับมาได้บ้าง แต่ไม่มากนัก
-พรคชาติไทยพัฒนา ประมาณ 15-20 เสียง กรณีได้ ส.ส.บ้านใหญ่กลับมาร่วมพรรคไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้
พรรคเล็ก ประมาณ 5-10 เสียง กรณีที่สูตรคำนวณไม่เข้าทางพรรคปัดเศษแบบเดิม
รวมจำนวน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่คาดว่าจะได้กลับมาจากสนามเลือกตั้งต่ำสุด ราวๆ 195-220 คน
จะเห็นได้ว่าคาดการณ์เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลต่ำสุด อยู่ที่ราวๆ 200 เสียง ยังไม่ถึง 250 เสียง จึงต้องหวังพึ่งพรรคเกิดใหม่ และพรรคที่รีแบรนดิ้งใหม่ ซึ่งคาดว่าพรรคกลุ่มนี้จะไม่ร่วมกับฝั่งพรรคเพื่อไทย เพราะจะถูก "คนแดนไกล" ชักใย และจะมีสภาพเป็นเพียง "พรรคไม้ประดับ" ไม่สามารถได้ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล
คาดการณ์จำนวน ส.ส.พรรคเกิดใหม่ และพรรครีแบรนดิ้งใหม่ โดยเป็นจำนวนต่ำสุดที่เป็นไปได้เช่นกัน
พรรครวมไทยสร้างชาติ ประมาณ 20-25 เสียง
พรรครวมพลัง ประมาณ 5-10 เสียง
พรรคกล้า พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคไทยภักดี รวมกันน่าจะได้ประมาณ 30-50 เสียง
สำหรับพรรคเกิดใหม่หลายๆ พรรค ประกาศว่าไม่สนับสนุน "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ทำให้มีการเตรียมตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเป็นทางเลือกสำรองเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ และหากคะแนนของพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ ได้ไม่ดีพอ ก็จะหลบไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ
เพื่อเปิดทางให้บรรดาพรรคเกิดใหม่มาร่วมจับมือตั้งรัฐบาลกับขั้วการเมืองนี้ได้ โดยเสนอหัวหน้าพรรคการเมืองอื่น เช่น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือประชาธิปัตย์ หรือรายชื่ออื่นที่พลังประชารัฐจะเสนอ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
สำหรับ 5 ปัจจัยชี้ขาดที่ส่งผลถึงคะแนนเลือกตั้ง เท่าที่มีการประเมินออกมา ได้แก่
1.ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และตัวนายกรัฐนมตรี นับจากนี้ถึงวันเลือกตั้ง ว่าจะสามารถฟื้นคะแนนนิยมได้แค่ไหน
2.ผลงานที่จะออกมาพลิกเกมหลังจากนี้ ซึ่งอาจมาจากการปรับ ครม.หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
3.นโยบาย "ปลดล็อกกัญชา" สำเร็จหรือล้มเหลว เพราะจะเป็นปัจจัยหนุนพรรคภูมิใจไทย หากกระแสปลดล็อกกัญชายังแรง และสร้างรายได้ให้ประชาชนรากหญ้าได้จริง ก็มีโอกาสที่พรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น อาจทะลุถึง 100 คน ซึ่งก็จะทำให้จำนวน ส.ส. รวมของขั้วการเมืองนี้เพิ่มขึ้นด้วย
4.สภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวยหรือไม่ เช่น ภาวะเศรษฐกิจหลังจากนี้ โลกจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ ทิศทางอัตราเงินเฟ้อจะเป็นอย่างไร สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะขยายวงหรือยื้ดเยื้อแค่ไหน รวมไปถึงราคาพลังงาน ตลอดจนแผนรับมือ และนโยบายประชานิยมที่จะลงไปอีกครั้งหลังงบประมาณผ่าน
5.กติกาการเลือกตั้ง จะยังคงเป็นสูตรหาร 500 อยู่หรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอลุ้นผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และท่าทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.