เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.65 รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จากผู้กล่าวหา กรณีที่นายสมคิดเข้าไปรับตำแหน่งผู้บริหารบริษัทเอกชนภายใน 2 ปีนับจากวันพ้นจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ผู้ยื่นข้อร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ระบุว่า นายสมคิด ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ก.ค.63 แต่หลังจากนั้น นายสมคิด ได้เข้ารับตำแหน่งประธานธรรมการ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ซึ่งปรากฎตามหนังสือรับรองบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 9 ส.ค.64 ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลา 2 ปี
นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น จึงเข้าข่ายเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม และเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 126 (4) ประกอบมาตรา 127 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
แหล่งข่าว เปิดเผยว่า สำนักงาน ป.ป.ช.จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าจะสมควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนประเด็นความผิดตามคำร้องดังกล่าวหรือไม่
สำหรับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายรัฐบาล ตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งการเลือกตั้งปี 2562 มีการริเริ่มตั้งพรรคพลังประชารัฐ นายสมคิดได้มีส่วนร่วมเข้ามาสังกัดพรรคพลังประชารัฐและประสบชัยชนะจัดตั้งรัฐบาล นายสมคิดได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี เมื่อมีปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ กลุ่มริเริ่มจัดตั้งพรรคที่สนิทกับนายสมคิด โดยเฉพาะกลุ่มสี่กุมาร ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รวมตัวก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมผลักดัน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคสร้างอนาคตไทย ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังมาถึง