นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การบรรเทาผลกระทบประชาชนเรื่องราคาน้ำมันรัฐบาลได้มีการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน และโรงแยกก๊าซทั้งหมดที่มีกำไรเพิ่มขึ้นช่วงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาช่วยเหลือค่าน้ำมันให้ประชาชน โดยส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และลดราคาน้ำมันเบนซิน เป็นเงินรวมเดือนละ 7,500-8,000 ล้านบาท รวม 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.2565) รวมเป็นเงินที่รัฐบาลขอความร่วมมือจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซ 24,000 ล้านบาท
การเก็บเงินจากธุรกิจโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซจากกำไรการกลั่นน้ำมันและการแยกก๊าซ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.กำไรจากการกลั่นน้ำมันดีเซลเดือนละ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้จะส่งเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.กำไรจากการกลั่นน้ำมันเบนซินจะเก็บจากโรงกลั่นเดือนละ 1,000 ล้านบาท โดยจะเก็บเงินไปชดเชยให้ผู้ใช้ราคาเบนซินและจะลดราคาขายปลีกเบนซินลงลิตรละ 1 บาท
3.กำไรของโรงแยกก๊าซเดือนละ 1,500 ล้านบาท จะเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กองทุนเช่นกัน
ทั้งนี้จะมีเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการเก็บเงินจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซทั้งหมดเดือนละ 6,000-7,500 ล้านบาท แต่ยังต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะกองทุนมีภาระต้องชดเชยราคาพลังงานเดือนละ 20,000 ล้านบาท
“เป็นการขอความร่วมมือโรงกลั่นในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ บางจาก ไทยออยล์ สตาร์ปิโตรเลี่ยม เอสโซ่ ไออาร์พีซี พีทีทีจีซี โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีและไม่ต้องออกกฎกระทรวงหรือประกาศกระทรวง"
รวมทั้งกระทรวงพลังงานให้คงค่าการตลาดไว้ที่ 1.40 บาทต่อลิตร รวมทั้งจะขอความร่วมมือปิดไฟป้ายโฆษณาและให้ห้างสรรพสินค้าปิดแอร์ก่อนถึงเวลาปิดห้าง 1 ชั่วโมงเพื่อลดการใช้พลังงานด้วย