svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"โพลปราบเซียน"หรือ"เซียนปราบโพล"ศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 

03 พฤษภาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ปี่กลองโหมโรงบรรเลงมาได้ครึ่งทาง สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ผู้สมัครทั้งสังกัดพรรค รวมถึงอิสระ ต่างซอยเท้าลงพื้นที่พบปะประชาชน หวังหาเสียงกินใจก่อนให้คนกรุงเข้าคูหากาคะแนนในวันที่ 22 พ.ค. นี้

มีคำถามเกี่ยวกับโพลผู้ว่าฯกทม.ที่ประชาชนสงสัย จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ 

 

-ในความเข้าใจของคนทั่วไป ถ้าสำรวจเรื่องเดียวกัน ผลออกมาน่าจะใกล้เคียงกัน 

 

-กรณีคะแนนนิยมของนักการเมือง หรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง น่าจะคล้ายคลึงกันทั้งลำดับ และระดับคะแนนนิยม 

 

-ผลต่างมีได้ แต่ไม่ควรมากนัก

 

-เกิดปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ ประชาชนไม่รู้จะเชื่อโพลไหนดี 

 

"ข่าวข้นคนข่าว" สอบถามเรื่องนี้จาก "คนในแวดวงการทำโพล" แต่อยู่ "นอกวง" การทำโพลผู้ว่าฯกทม. แบบทำหลายๆ ครั้ง เผยแพร่บ่อยๆ เหมือนปัจจุบัน 

 

"โพลปราบเซียน"หรือ"เซียนปราบโพล"ศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 

 

โดย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเคยผ่านงานทำโพลและวิจัยเชิงสำรวจในระดับนานาชาติมาหลายครั้ง กล่าวว่า ความต่างของผลสำรวจโพลแต่ละสำนัก แม้จะสำรวจหัวข้อเดียวกัน ในพื้นที่เดียวกัน ก็คือ

 

1.วิธีการศึกษา (สำรวจ) 

 

2.วิธีการเลือกตัวอย่าง และกลุ่มตัวอย่าง

 

3.การได้มาซึ่งตัวอย่าง  

 

ผลสำรวจที่จะออกมาใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด คือ การสุ่มตัวอย่างจากความน่าจะเป็นตามหลักสถิติทุกขั้นตอน เรียกว่า systematic sampling แต่เป็นวิธีการที่ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร 

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลสำรวจออกมาแตกต่างกัน เนื่องจากผู้วิจัยต้องการความเชื่อมั่นไม่เท่ากัน และความเชื่อมั่นที่ต้องการ ก็จะนำมาสู่จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งจะสัมพันธ์กัน และมีสูตรคำนวณ แต่ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ไม่ใช่ตัวแปรสำคัญที่สุดที่ทำให้ผลสำรวจน่าเชื่อถือ แต่วิธีการเลือกตัวอย่าง และการได้มาซึ่งตัวอย่าง เป็นตัวแปรที่สำคัญกว่า เพราะขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ใช้ไม่เยอะก็สามารถสำรวจออกมาได้ผลแม่นยำได้ 

 

อาจารย์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนการ "เขย่าติ้ว" (ติ้ว หมายถึงไม้ซีกเล็กๆ ใช้ในการเสี่ยงทาย เหมือนเซียมซี) คือ ติ้วทุกอันมีโอกาสได้รับเลือกเหมือนกัน ติ้วอันไหนตกลงมาก็เป็นอันนั้น ถ้าเทียบจากการเลือกตั้ง กทม. พื้นที่ กทม.มี 50 เขต ก็ต้องสุ่มเลือกมาก่อนว่าจะเอาเขตไหน อาจจะแยกเป็นชั้นใน ชั้นนอก หรือจะเอาทุกเขต

 

เขตไหนที่ถูกเลือก ต้องดูจำนวนประชากรด้วย แล้วกำหนดวิธีการเลือกตัวอย่างในเขตนั้น ว่าจะสุ่มอย่างไร ใครจะถูกเลือก

 

วิธีการที่แม่นยำมากๆ เช่น ดูจากจำนวนครัวเรือน คนในครัวเรือนมีกี่คน สุ่มครัวเรือนได้แล้ว จะเลือกสมาชิกคนที่เท่าไหร่ในครัวเรือนนั้น เลือกชายหรือหญิง ต้องสลับกันไปแบบนี้ สุ่มอย่างเป็นระบบทุกขั้นตอน ถ้าทำได้จะยิ่งได้ผลแม่นยำ 

 

สำหรับการทำโพลที่เห็นกันในปัจจุบัน และประชาชนสับสนในผลสำรวจที่แตกต่างกัน อาจเกิดจากวิธีการที่เรียกว่า "สุ่มสะดวก" เพื่อความประหยัด และได้ผลเร็ว แต่ผลที่ได้จะแม่นยำน้อยลง ถือเป็นการสำรวจเบื้องต้น เช่น ใช้ "กูเกิ้ล ฟอร์ม" ง่าย เร็ว แต่อาจไม่ตรงความจริง อยู่ที่ว่าเราส่งแบบสอบถามไปให้ใคร กลุ่มใด แม้จะพยายามกระจาย แต่ตัวอย่างไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทุกกลุ่ม

 

คล้ายๆ โพลตามทีวี ก็จะได้ผลสำรวจกลุ่มที่ชื่นชอบทีวีช่องนั้น ซึ่งมีแนวโน้มรสนิยมการเมืองแบบหนึ่ง ก็จะเป็นโพลที่สำรวจจากคนกลุ่มนี้เท่านั้น ในทางสถิติเรียกว่า "กลุ่มเบ้" หรือ Bias ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องบอกประชาชนเวลานำมาเผยแพร่ว่า เป็นการสำรวจจากใคร และเป็นเพียงการสำรวจเบื้องต้น 

 

อีกเรื่องที่มีการพูดกัน คือ สำนักโพลบางแห่งมีรายชื่อประชากรอยู่จำนวนหนึ่ง สมมติ 30,000 รายชื่อ เวลาจะสำรวจอะไรที ก็สำรวจจากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้ เช่น เลือกสุ่ม 1,000 ตัวอย่าง จาก 30,000 รายชื่อนี้ อ.ถวิลวดี บอกว่า วิธีการแบบนี้มีจริง เรียกว่า "ถังรายชื่อ" จะสำรวจอะไรก็สุ่มโทรไปถามคนที่มีชื่อในถังนี้

 

ความแม่นยำของการสำรวจวิธีนี้ ขึ้นกับ 

 

1.รายชื่อเหล่านี้ได้มาอย่างไร ได้มาตามหลักสถิติความน่าจะเป็นหรือไม่ 

 

2.รายชื่อที่ได้มา เป็นตัวแทนของประชากรทุกกลุ่มในพื้นที่ที่ต้องการสำรวจหรือไม่ 

 

3.มีการอัพเดทข้อมูลในถังบ้างหรือไม่ เช่น มีคนย้ายออกนอกพื้นที่ มีคนเปลี่ยนวัย เปลี่ยนช่วงอายุ ได้อัพเดทหรือเปล่า 

 

จริงๆ วิธีการนี้ไม่ได้ผิด แต่ต้องอัพเดทบ่อยๆ และเปลี่ยนกลุ่มตัวอย่างบ้าง 

 

อ.ถวิลวดี ยังถอดประสบการณ์การทำโพลกับคน กทม.ว่า 

 

-มีความสะวิงสูง คือ เปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะได้รับข้อมูลเยอะ จึงมีโอกาสเปลี่ยนใจตลอดเวลา

 

-การเลือกตั้งมีการกลั่นแกล้งกันเยอะ เมื่อเสพข่าวลือบ้าง จริงบ้าง ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจ 

 

-มีการทำ political marketing เยอะมาก ทุกแพลตฟอร์ม ทำให้โอกาสการเปลี่ยนใจของ voters มีสูง

 

-ลักษณะของคนกรุงเทพฯ มีความ "อิงกระแส - ตามกระแส" จึงเปลี่ยนแปลงง่าย โดยเฉพาะใกล้ๆ วันหย่อนบัตร

 

-มีความเป็น radical (หัวรุนแรง) ต่อต้านคนที่พฤติกรรมไม่ดี ฉะนั้นข้อมูลบางอย่างถ้าถูกเปิดในช่วงโค้งสุดท้าย แล้วตรงใจคนกรุงเทพฯพอดี หรือเป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯต่อต้านพอดี จะทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 

 

-โพลคน กทม. ทำค่อนข้างยาก เพราะคนไม่ค่อยตอบตามความเป็นจริง บางทีก็เอาใจคนท่ีมาสำรวจ เช่น โพลของหัวคะแนนหรือพรรคการเมืองทำกันเอง มีความเสี่ยงสูง 

 

-การสำรวจให้แม่นยำที่สุด ต้องสำรวจช่วงใกล้วันลงคะแนนมากที่สุด เพราะคนกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจช้า ขอรับข้อมูลไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีเดียวโค้งสุดท้าย 

 

เมื่อโพลที่สำรวจแบบเบื้องต้น หรือสำรวจอย่างง่าย มีความคลาดเคลื่อนสูง เหตุใดจึงยังมีการทำโพลกันเยอะมาก อ.ถวิลวดี บอกว่า 

 

-ทำเพื่อความหวือหวา เรียกความสนใจ ทำให้คนรู้จักโพลนั้น 

 

-ชี้นำการเลือกตั้ง มีทั้งชี้นำผู้ชนะ และชี้นำผู้แพ้ การชี้นำผู้แพ้ ก็เช่น เลือกเบอร์นี้ไปก็เท่านั้น เลือกยังไงก็ไม่ชนะ ถือเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งเหมือนกัน 

 

สำหรับสำนักวิจัยและพัฒนาที่ อ.ถวิลวดี เป็นผู้อำนวยการอยู่ ก็มีแผนทำสำรวจเกี่ยวกับผู้ว่าฯกทม. แต่เป็นการสำรวจอย่างง่าย สำรวจเบื้องต้นเพื่อให้เห็นความต้องการทางนโยบายบางอย่างของคน กทม. เพราะทางสำนักงานไม่มีงบในส่วนนี้ จึงใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายผ่านระบบไอที แต่ก็จะบอกไว้เลยว่า เป็นการสำรวจเบื้องต้นที่ยังมีความเบี่ยงเบน และอาจไม่สอดคล้องกับผลการเลือกตั้งจริง ซึ่งมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผล

logoline