"อดุลย์"แจงทำไมต้องเลือก"บิ๊กป้อม"มานั่งนายกฯขัดตาทัพ

29 เมษายน 2565 นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ชี้แจงเหตุผลการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงอายุรัฐบาลที่เหลืออยู่นั้น เพราะพล.อ.ประวิตร เป็นบุคคลที่ประสานได้กับทุกฝ่ายทุกพรรคการเมือง ย้ำไม่ได้มองโลกสวย แต่เป็นข้อเสนอที่ปฏิบัติได้จริง

นายอดุลย์ กล่าวต่อว่า หากใน 2-3 เดือนนับจากนี้ ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลง จะเกิดการลุกฮือของประชาชน  ซึ่งในฐานะที่พล.อ.ประวิตร สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลมากว่า 7 ปี แล้วเกิดปัญหาทางการเมือง ดังนั้น พล.อ.ประวิตร จึงต้องรับผิดชอบแก้ไข เพราะไม่มีใครที่จะพูดคุยโนมน้าวให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เมื่อพล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ก็สามารถคุ้มครองดูแลพล.อ.ประยุทธ์ได้ด้วย เพราะมีโจทก์ทางการเมืองเยอะ

อย่างไรก็ตาม ส่วนยังเชื่อว่าพล.อ.ประวิตร เป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย แม้แต่พรรคก้าวไกล รวมถึง ส.ว. ที่จะมีส่วนร่วมในการโหวตนายกรัฐมนตรีด้วย ดังนั้น จึงหวังให้ พล.อ.ประวิตร มาแก้ไขปัญหาเพื่อให้บ้านเมืองขยับดีขึ้น เข้าที่เข้าทาง และเชื่อว่าจะประสานความสามัคคีกับทุกฝ่ายได้ หรือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม 

ขณะเดียวกัน มั่นใจว่ามีกลไกตามกฎหมายที่จะเสนอชื่อพล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้ หากชื่อ 3 คนทีมีอยู่ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายชัยเกษม นิติศิริ รัฐสภาเลือกก็จบ หากไม่เลือกก็มีช่องทางตามกฎหมาย แต่เชื่อว่าชื่อนั้นไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ส.ว. แน่นอน เว้นแต่ชื่อพล.อ.ประวิตร ที่จะผ่านได้ หลังเป็นนายกฯ ขอรับเงื่อนไขของภาคประชาชนว่าเมื่อจบภารกิจ ไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯอีกเมื่อครบเทอม จบปัญหา 3ป. จากนั้นแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกอำนาจ ส.ว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ก่อนจะคืนอำนาจให้ประชาชน 

ทั้งนี้ ยังได้สรุปข้อศึกษาตลอดกว่า 1 ปี ของคณะสภาที่ 3 ซึ่งเปิดเวทีมาพบว่ามี 4 ปัญหาปัญหาบ้านเมืองที่นำมาสู่ข้อเสนอทางการเมืองครั้งนี้ คือ

1.ปัญหาความแตกแยกของประชาชน ของพรรคการเมืองการแย่งชิงอำนาจ

2.ความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม

3.ปัญหารัฐธรรมนูญปี 2560

4.รัฐบาลนี้ล้มเหลวในการบริหารประเทศ เศรษฐกิจพังพินาศ โดยจะเสนอต่อพรรคการเมืองนำไปปฏิบัติหวังแก้ปัญหาบ้านเมือง ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อสนามแข่งขันทางการเมืองที่ยุติธรรม