วันที่ 1 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางฐิติชยา สวนผกา อายุ 42 ปี และครอบครัวที่มีทั้งพ่อ แม่ ป้า และ ลูกชายวัย 3 ขวบ รวม 8 คน ที่ต้องกักตัวในบ้านเลขที่ 82/1 หมู่ 3 ตำบลริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากติดโควิด 19 กันทั้งครอบครัว ได้ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ว่าตั้งแต่เริ่มกักตัวมาตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ไม่มี อสม. เจ้าหน้าที่ รพ.สต. หรือ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เข้ามาดูแลสนับสนุนอาหารการกิน หรือ ให้คำแนะนำในการรักษาตัวที่บ้าน ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ปล่อยให้ต่อสู้กับโรคโควิด 19 เพียงลำพัง
นางฐิติชยา สวนผกา กล่าวว่า ญาติอยู่บ้านในรั้วเดียวกันแต่คนละหลัง ติดโควิด 19 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา หลังจากตรวจพบผลบวกจากการตรวจแบบATK จากนั้นตนเองได้พาไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมกับอุปกรณ์วัดออกซิเจนเพื่อเข้าระบบรักษาตัวที่บ้านหรือ HI หลังจากนั้นทุกคนในบ้านทยอยติดกันจนครบทุกคน โดยคนล่าสุดคือพ่อที่มีอายุ 67 ปี ได้ตรวจพบเชื้อโควิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนในบ้านต้องกักตัวต่อไปอีกสิบวัน ไปจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2565
ทุกคนได้รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการกักตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่พบว่านับตั้งแต่กักตัววันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครมาเหลียวแล แม้กระทั่ง อสม.ในหมู่บ้านไม่เข้ามาสอบถามหรือแนะนำอะไร ทำให้ทุกคนต้องดูแลกันเอง ส่วนอาหารแต่ละมื้อ ในช่วงแรกได้นำอาหารที่กักตุนเอาไว้มาทำกินกันจนหมดแล้ว จึงเตรียมออกจากบ้านไปหาซื้อหาอาการ แต่โชคดีที่มีเพื่อนบ้านที่ทราบข่าวช่วยเหลือนำอาหารมาวางบนโต๊ะหน้าบ้านให้ หากไม่มีน้ำใจจากเพื่อนบ้าน ตนเองไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกเหมือนกับถูกทอดทิ้งจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางฐิติชยา เล่าต่อว่า ตนเองเข้าใจดีว่าโควิด 19 กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่อยากให้ อสม.หรือหน่วยงานด้านการแพทย์ดูแลผู้ป่วยในระบบ HI ให้ดีมากกว่านี้ เพราะเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน และ จำนวนไม่น้อยที่ต้องออกไปซื้อหาอาหารหรือแม้กระทั่งยาบรรเทาอาการด้วยตัวเองทั้งที่เป็นผู้ติดเชื้อ ซึ่งตนเองเป็นห่วงว่าจะกลายเป็นการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น บางครอบครัวมีแต่ผู้สูงอายุหรือคนที่ไม่มีความรู้ ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดีย เมื่อเกิดปัญหาขึ้น อาจทำให้เกิดความสูญเสียได้ จึงอยากให้มีการปรับปรุงระบบการดูแลให้ดีกว่านี้
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปที่นายภควัต ขันธหิรัญ นายอำเภอแม่ริม ได้มอบหมายให้ นางสาวชบาไพร วรกิจคุณากร ปลัดอำเภอแม่ริม ชี้แจงข้อมูลแทนในกรณีนี้
ปลัดอำเภอแม่ริม กล่าวว่า ทราบข้อมูลจากสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอผ่านทางออนไลน์ ในส่วนนี้ทางนายอำเภอแม่ริม ได้มีการมอบหมายให้กำนันตำบลริมใต้ เข้าไปให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว จากการสอบถาทข้อมูลพบว่า คนไข้ครอบครัวนี้มีการไปตรวจที่โรงพยาบาลนครพิงค์เพียงคนเดียว คือผู้ติดเชื้อคนแรกที่เป็นคุณป้า จากนั้นคุณป้าได้เข้าสู่กระบวนการ OPHI หรือที่เรียกว่า “เจอ แจก จบ” คือรับยามารักษาตัวที่บ้าน แต่ทางอาหารการกินคนไข้ต้องดูแลตนเอง ซึ่งผู้ป่วยอาจไม่เข้าใจกระบวนการตรงนี้ พอคนในบ้านคนอื่นๆ มีผลATK เป็นบวกไม่ทราบว่าได้ไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลหรือไม่ ปัจจุบันการดูแลผู้ป่วย ยังภาครัฐบาลไม่ได้มีงบประมาณมาให้ ทำให้ประชาชนต้องคอยช่วยเหลือตนเองตามนโยบายของรัฐบาลที่เริ่มปรับให้เชื้อไวรัสโควิด19 เป็นเชื้อประจำถิ่น หลังจากนี้จะมีการหาทางออกในเรื่องนี้กับผู้นำชุมชนในพื้นที่อำเภอแม่ริมอีกครั้ง
ข่าว / ภาพ โดย เกรียงไกร รัตนา ศูนย์ข่าวเนชั่นภาคเหนือ