ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงเมื่อวันอังคารว่า สหรัฐฯจะห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งหมดจากรัสเซีย หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินยังคงเลือกเดินบนเส้นทางการฆาตกรรม พร้อมกับยืนยันว่า สงครามในยูเครนจะไม่ใช่ชัยชนะสำหรับปูติน และมาตรการห้ามนำเข้าพลังงานจากรัสเซียจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเครื่องจักรสงครามของปูติน
และแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า สภาเตรียมลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในวันเดียวกัน
ภายใต้คำสั่งของไบเดน รัฐบาลกำหนดห้ามนำเข้าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว และพลังงานอื่น ๆ ของรัสเซีย ขณะที่มีข้อมูลว่า ในปี 2564 สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบ 209,000 บาร์เรลต่อวัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่น ๆ 500,000 บาร์เรลต่อวันจากรัสเซีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดของสหรัฐฯ และสำหรับรัสเซีย ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบให้สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่น ๆ มากที่สุดในโลกรวมเกือบ 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 7% ของปริมาณการผลิตทั้งโลก
นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการของไบเดนเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ พร้อมจ่ายได้เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในปัจจุบัน และปริมาณการส่งออกไปสหรัฐฯก็ไม่ได้สำคัญต่อรัสเซียนัก
แต่การแบนน้ำมันรัสเซียจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นจากราว 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในขณะนี้เป็น 160 หรือสูงถึง 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ และอาจทำให้ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอน นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปีอยู่แล้วอาจพุ่งสูงขึ้นอีกเป็น 7.9%
แต่ผลสำรวจของรอยเตอร์และอิพซอส พบว่า ชาวอเมริกันมากถึงเกือบ 80% สนับสนุนให้เลิกซื้อน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แม้ว่าราคาน้ำมันเบนซินจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม ซึ่งตัวเลขนี้ไม่แตกต่างจากผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ราคาน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทำสถิติสูงขึ้นเป็นเกือบ 4.17 ดอลลาร์ต่อแกลลอนเมื่อวันอังคาร
ขณะที่มาตรการห้ามนำเข้าพลังงานจากรัสเซียเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับยุโรป ที่พึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นหลัก และรัสเซียเตือนว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากชาติตะวันตกแบนน้ำมันรัสเซีย และขู่ตัดการส่งก๊าซธรรมชาติในโครงการนอรด์ สตรีม 1 ที่เชื่อมระหว่างรัสเซียและเยอรมนีด้วย หลังจากเยอรมนีสั่งระงับโครงการนอร์ด สตรีม 2 เมื่อเดือนที่แล้ว
เมื่อวันอังคารนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษประกาศจะเลิกนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ปัจจุบันอังกฤษนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเพียงเกือบ 6% ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมด
แต่ยุโรปที่นำเข้าก๊าซธรรมชาติมากถึง 45% จากรัสเซีย และน้ำมันดิบ 30% จากรัสเซียยังไม่มีแผนห้ามนำเข้าจากรัสเซีย และตั้งเป้าว่าจะมุ่งใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้นเพียงพอสำหรับทำให้ยุโรปเลิกพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลของรัสเซียก่อนปี 2573