ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัสของสหรัฐฯ สูงขึ้น 7.34% ปิดตลาดที่ 124.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งแตะระดับ 130.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงค่ำวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2551 ก่อนลดลงมา
ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ของอังกฤษพุ่งขึ้น 8.54% ปิดตลาดที่ 128.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากแตะ 139.13 ดอลลาร์ช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.2551 เช่นกัน
นักวิเคราะห์บอกว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเพราะคาดว่าสหรัฐฯและชาติพันธมิตรอาจใช้มาตรการห้ามการนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ยุติปฏิบัติการทางทหารในยูเครน หลังจากแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับรายการ “State of the Union” ของซีเอ็นเอ็นเมื่อวานว่า สหรัฐฯกำลังหารือกับหุ้นส่วนในยุโรปและพันธมิตรเพื่อพิจารณาห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย แต่ต้องมั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันในตลาดโลกเพียงพอ
นอกจากนี้ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในจดหมายที่ส่งถึงสมาชิกพรรคเดโมแครตเมื่อวานว่า สภากำลังเตรียมกฎหมายเพื่อห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ที่จะทำให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวจากเศรษฐกิจโลก
เธอระบุว่า กฎหมายจะห้ามนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานจากรัสเซียเข้าสู่สหรัฐฯ, ยกเลิกความสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติกับรัสเซียและเบลารุส และเริ่มขั้นตอนแรกเพื่อตัดการเข้าถึงของรัสเซียในองค์การการค้าโลก และจะเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าของรัสเซีย
ปัจจุบันราคาน้ำมันในสหรัฐฯแตะ 4 ดอลลาร์ต่อแกลลอนเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
นอกจากนี้ความตื่นตระหนกของนักลงทุนเกี่ยวกับการห้ามนำเข้าน้ำมันของรัสเซียฉุดให้ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้าในวันนี้ ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นแตะ 2,000.86 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563