สงครามในยูเครนทำให้มีประชาชนมากกว่า 1,700,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงกับเด็ก ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ต้องพากันอพยพหนีภัยสงครามออกจากยูเครน ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป ซึ่งประกอบด้วย
โปแลนด์ 1,000,000
ฮังการี 180,000
สโลวาเกีย 128,000
มอลโดวา 83,000
โรมาเนีย 79,000
ประเทศอื่นๆ 183,000
รัสเซีย 53,000
เบลารุส 406
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีภาพเหตุการณ์ที่น่าสลดใจที่ชานชาลาของสถานีรถไฟในเมืองคาร์คีฟ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครน ที่ถูกรัสเซียถล่มอย่างหนัก เราจะเห็นว่าทุกตารางนิ้วของชานชาลาถูกจับจองโดยผู้ที่ต้องการหนีออกจากสมรภูมิสงครามและทำให้สถานีรถไฟกลายสภาพไม่ต่างจาก "ทะเลมนุษย์" ที่มีคนจำนวนมหาศาล มาเป็นครอบครัว, แม่กับลูกๆ, คนหนุ่มสาวและคนชรา แออัดกันที่ชานชาลา ทำให้ขบวนรถไฟขนาด 10 ตู้โดยสาร ต้องให้บริการอย่างไม่หยุดหย่อน
ขณะที่รัสเซียเปิดเส้นทางมนุษยธรรมเพื่อการอพยพ (humanitarian corridors) เป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นการเปิดเส้นทางให้อพยพไปที่รัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เปิดสงครามกับยูเครน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความตายของผู้คนและการทำลายล้างทั้งหมด ซึ่งยูเครนมองว่า นี่เป็นการกระที่ไร้ศีลธรรม และยอมรับไม่ได้ ส่วนเจมส์ คลีฟเวอร์ลีย์ รัฐมนตรีกระทรวงยุโรปของอังกฤษ ก็บอกเหมือนกันว่า นี่เป็นการกระทำที่ไร้สาระ
รัสเซียได้เสนอ 6 เส้นทาง ที่เปิดให้พลเรือนใช้เป็นทางออกจากเมืองมาริอูโปล, คาร์คีฟ
ซูมีและกรุงเคียฟ แต่มีรายงานว่า เส้นทางที่ปลอดภัยในการออกจากเมืองมาริอูโปล ต้องฝ่า "ดงทุ่นระเบิด" อีกทั้งเมืองเหล่านี้ ก็ยังถูกระดมโจมตีด้วยจรวดอย่างไม่หยุดหย่อน การสู้รบก็ยังคงดุเดือด และผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งต้องอาศัยสะพานข้ามแม่น้ำที่โงนเงน หลังจากสะพานหลักหลายแห่ง ถูกทหารยูเครนระเบิดทิ้ง เพื่อชะลอการบุกของทหารรัสเซียไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง แต่ในทางตรงกันข้ามก็ทำให้ประชาชนเดินทางออกนอกเมืองได้ลำบากขึ้น
กาชาดสากลระบุว่า ทั้งสองฝ่ายขาดการทำข้อตกลงที่เข้าใจกันในเรื่องของเวลาการเปิดเส้นทางอพยพ ว่าเมื่อใดที่ผู้คนสามารถออกไปได้ และต้องใช้เส้นทางไหนบ้างที่ไม่มีการโจมตี ซึ่งผู้อพยพยังไม่มั่นใจในรายละเอียดของข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่หลักการ เพราะหลายพื้นที่ที่ควรจะเป็นเส้นทางของผู้อพยพยังคงมีการสู้รบเกิดขึ้น