ท่ามกลางการรายงานความสูญเสียอย่างหนักของฝ่ายทหารรัสเซีย ที่พยายามบุกยึดกรุงเคียฟของยูเครน ที่รวมทั้งเครื่องบินทหาร 2 ลำ พร้อมกับพลร่ม 300 นาย ถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสอยร่วง ทำให้ฝ่ายตะวันตกที่เฝ้าจับตาสถานการณ์พากันวิตกว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย อาจใช้อาวุธทำลายล้างที่เรียกกันว่า "บิดาแห่งระเบิดทั้งปวง" (father of all bombs) ควบคู่กับเรือยกพลขึ้นบกจู่โจม(Amphibious assault ) เพื่อเผด็จศึกให้เร็วขึ้น
บิดาแห่งระเบิดทั้งปวงที่ตะวันตกกลัวคือ "Thermobaric" หรือ "ระเบิดสูญญากาศ" ที่ใช้ออกซิเจนจากอากาศโดยรอบเพื่อสร้างระเบิดที่อุณหภูมิสูง ในทางปฏิบัติคลื่นระเบิดที่สร้างโดยอาวุธชนิดนี้ จะมีระยะเวลายาวนานกว่าระเบิดชนิดอื่น ส่วนความรุนแรงนั้นเหนือกว่าระเบิดนาปาล์ม เพราะบรรจุเชื้อเพลิงที่สามารถระเบิดลุกเป็นกลุ่มไฟที่ร้อนแรงที่สุด และสามารถซอกซอนเข้าทำลายไม่ว่าจะเป็นถ้ำในหลืบถ้ำหรือแม้แต่ซอกซอยที่ซุ่มของศัตรู
การทำงานของ "Thermobaric" เป็นระบบ คือ ระบบแรกจะเป็นระเบิดทำลายที่กำบังด้วยช็อคเวฟ ความรุนแรงเทียบเท่าระเบิด TNT 44 ตัน ส่วนระบบที่สองเป็นเปลวเพลิงเผาซ้ำ ด้วยความร้อนสูงถึง 3,000 องศาเซลเซียส ภายในรัศมีการทำลาย 300 เมตร ก่อนถึงพื้น สามารถหลอมละลายสรรพสิ่งให้เป็นจุณไปในพริบตา ถ้าไม่นับรวมอาวุธนิวเคลียร์ "thermobaric" ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สหรัฐฯ เคยใช้อาวุธชนิดนี้กำราบตาลีบันในอัฟกานิสถาน เมื่อปี 2560 โดยใช้ระเบิดน้ำหนัก 9,700 กิโลรัม แรงระเบิดทำให้เกิดแอ่งขนาดใหญ่กว้างกว่า 300 เมตร และแรงระเบิดยังสูงจากพื้นดินถึง 6 ฟุต ปัจจุบัน ทั้งสหรัฐฯ และรัสเซียต่างก็พัฒนาอาวุธ "Thermobaric" ที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 สมัยที่รัสเซียยังเป็นสหภาพโซเวียต แต่เมื่อเดือนกันยายน ปี 2550 รัสเซียสามารถสร้างอาวุธ "Thermobaric" ที่รุนแรงที่สุดอยางที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน จึงเป็นที่มาของชื่อบิดาแห่งระเบิดทั้งปวง