กลุ่มคนขับรถบรรทุกแคนาดาจำนวนหนึ่งปิดกั้นการจราจรบนสะพานแอมบาสซาเดอร์ ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองวินด์เซอร์ รัฐออนแทรีโอของแคนาดา และเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ ทำให้เส้นทางสัญจรทางบกข้ามพรมแดนของสองประเทศที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดหยุดชะงักต่อเนื่องจนถึงเมื่อวันอังคาร โดยฝั่งขาเข้าแคนาดายังถูกปิด แต่ฝั่งขาออกไปสหรัฐฯ กลับมาสัญจรได้แล้วในเช้าวันอังคาร
แคนาดาส่งออกสินค้ามากถึง 75% ไปยังสหรัฐฯ และสะพานแอมบาสซาเดอร์ มีรถบรรทุกสัญจรวันละเกือบ 8,000 คัน
การประท้วงของคนขับรถบรรทุกเริ่มจากปิดถนนในกรุงออตตาวา เมืองหลวงของแคนาดาตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.และยืดเยื้อมานานานหนึ่งสัปดาห์ เพื่อคัดค้านมาตรการที่กำหนดให้คนขับรถบรรทุกที่จะข้ามพรมแดนเข้าแคนาดา ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสเท่านั้น
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด กล่าวในการประชุมฉุกเฉินของรัฐสภาเมื่อวันจันทร์โดยวิจารณ์ผู้ประท้วงว่าพยายามทำลายเศรษฐกิจ ประชาธิปไตย และชีวิตประจำวันของประชาชน และเรียกร้องให้ม็อบรถบรรทุกสลายตัว แต่ผู้ประท้วงยืนยันจะไม่ออกจากพื้นที่จนกว่ารัฐบาลจะยกเลิกมาตรการบังคับฉีดวัคซีน และข้อจำกัดอื่น ๆ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
ขณะที่นักการเมืองแคนาดาหลายคน กังวลว่า การปิดสะพานแอมบาสซาเดอร์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยมูลค่าการค้าชายแดนผ่านสะพานสายนี้คิดเป็น 25% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าเกือบ 500 ล้านดอลลาร์แคนาดาต่อวัน
และแม้การขนส่งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์และสินค้าอื่นๆ ไปสหรัฐฯ ยังคงทำได้แต่ก็ล่าช้า เพราะรถบรรทุกเลือกเดินทางไปข้ามแดนที่สะพานอีกแห่ง ซึ่งทำให้เสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีก 5 ชม. และอุตสาหกรรมยานยนต์ในรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ แสดงความกังวลด้วยว่า การขนส่งที่ล่าช้านี้อาจทำให้การผลิตหยุดชะงักเพราะโรงงานมีชิ้นส่วนอะไหล่เหลือไม่มากนักสืบเนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานก่อนหน้านี้แล้ว