ในวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปี ที่กองทัพเมียนมา ภายใต้การนำของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจี โดยอ้างเหตุผลเรื่องการทุจริตเลือกตั้งที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของอองซานซูจี คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายเมื่อปี 2020 สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเมียนมาทั่วประเทศที่ไม่ต้องการกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหาร จนเกิดการประท้วงทั่วเมียนมา ซึ่งกองทัพใช้กำลังทหารเข้าจับกุม ทำร้าย และสังหารประชาชนอย่างไร้ความปราณี
จนถึงตอนนี้ มีชาวเมียนมาเสียชีวิตจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารไปแล้วกว่า 1,500 คน และถูกจับกุมอีกกว่า 8,000 คน ซึ่งมีทั้งประชาชนทั่วไป นักศึกษา นักสิทธิมนุษยชน นักข่าว แม้แต่ดารา นักแสดงที่แสดงท่าทีต่อต้านกองทัพก็ถูกจับกุม ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกที่เรียกร้องให้กองทัพเมียนมาหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชน และคืนประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด แต่กองทัพเมียนมาก็ไม่ให้ความสนใจ ยังคงรวบอำนาจและใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้เห็นต่างและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างไม่สะทกสะท้าน
แม้ขณะนี้ การประท้วงของชาวเมียนมาจะเริ่มดูเบาบางตามเวลาที่ผ่านไป แต่ชาวเมียนมายังคงไม่ให้การยอมรับการยึดอำนาจของกองทัพซึ่งเป็นการก้าวถอยหลังของระบบประชาธิปไตย โดยในวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการก่อรัฐประหารในเมียนมา ชาวเมียนมาในเมืองย่างกุ้ง และอีกหลายเมืองทั่วเมียนมา เข้าร่วมการประท้วงเงียบ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกมาทำงาน ปิดร้านค้า จนทั้งเมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง เพื่อไว้อาลัยต่อการสูญเสียสิทธิและเสรีภาพ แม้กองทัพจะขู่ไม่ให้มีการปิดร้านค้าในวันนี้ และให้ผู้คนใช้ชีวิตตามปกติ หากใครฝ่าฝืนจะถูกจับกุมและมีโทษตามกฎหมาย แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งชาวเมียนมาไม่ให้เข้าร่วมการประท้วงเงียบครั้งนี้ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะรัฐประหารจะผ่านมา 1 ปีแล้ว แต่ชาวเมียนมาก็ยังไม่ยอมรับการยึดอำนาจของกองทัพ
ในส่วนของประชาคมโลก มีหลายฝ่ายออกมาประณามการยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาอีกครั้งในวันนี้ เช่น โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณต่อประชาชนนับครั้งไม่ถ้วนของกองทัพเมียนมา และยืนยันว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรเพื่อให้เมียนมากลับคืนสู่หนทางแห่งประชาธิปไตย
และในวันนี้ กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรเมียนมาเพิ่มเติม ด้วยการขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ของเมียนมา 7 คน ซึ่งมีทั้งอัยการ ประธานศาลฎีกา และประธานคณะกรรมาธิการต่อต้านการคอร์รัปชันแห่งชาติของเมียนมา ซึ่งแคนาดาและอังกฤษ ได้เพิ่มชื่อบุคคลเหล่านี้ลงไปในบัญชีดำด้วย ขณะที่ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ เกาหลีใต้ และ แอลเบเนีย ร่วมออกแถลงการณ์ประณามกองทัพเมียนมา ที่ยึดอำนาจจากประชาชนมาครบ 1 ปี และขอให้มีการคืนอำนาจให้กับชาวเมียนมาอย่างเร็วที่สุด
หลายประเทศยังไม่ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงต่อเมียนมา เนื่องจากกังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน แต่นักวิเคราะห์มองว่าหากรัฐบาลทหารเมียนมายังคงไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกมากขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจของเมียนมาที่เคยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในยุครัฐบาลประชาธิปไตย กลับไปซบเซาและยากจนเหมือนสมัยที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารเมียนมา เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว