ความขัดแย้งและความรุนแรงใน “เมียนมา” เป็นปัญหามีมาอย่างยาวนานและยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางคราบน้ำตาของผู้คนในประเทศที่ยังคงเรียกร้องโหยหาสันติภาพและประชาธิปไตย
1 กุมภาพันธ์ 2564 เกิดการรัฐประหารเมียนมา โดย “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐประหาร” โค่นล้มรัฐบาล “ออง ซาน ซูจี” นับเป็นวันที่จุดไฟความขัดแย้งให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และจนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 1 ปีเต็ม สถานการณ์ยังคงอลม่านไร้วี่แววแห่งสันติภาพ ซ้ำยังเกิดเหตุนองเลือด คร่าชีวิตประชาชนเมียนมาไปกว่าพันคน ถูกจับกุมกว่าหมื่นคน และคาดว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ต้องหลบหนี หรือย้ายถิ่นนับแสนคน
ย้อนไทม์ไลน์เหตุการณ์รัฐประหารเมียนมา
1 กุมภาพันธ์ 2564
ทหารควบคุมตัวนางอองซานซูจี วัย 76 ปี และสมาชิกสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งได้รับเลือกตั้งใหม่ในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
2 กุมภาพันธ์ 2564
เกิดการประท้วงครั้งแรก ประชาชนทุบหม้อ กระทะ บีบแตรรถ ประท้วงรัฐประหาร
6 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลสั่งบล็อก Twitter และ Instagram ตามด้วยการปิดอินเทอร์เน็ต
8 กุมภาพัน์ 2564
การประท้วงขยายวงสู่มวลชนนับแสนคนในหลายเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มแรงงานนัดกันหยุดงานประท้วง
9 กุมภาพันธ์ 2564
เกิดเหตุรุนแรงในหลายเมืองหลังเจ้าหน้าที่เข้าปราบปรามผู้ประท้วง โดยหญิงวัย 19 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนยิงเข้าที่ศรีษะขณะร่วมการประท้วงในกรุงเนปิดอว์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
10 มีนาคม 2564
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันท์เรียกร้องให้มีการยกเลิกรัฐประหารของทหารในเมียนมา และประณามความรุนแรงของทหารต่อผู้ประท้วงอย่างสันติ
28 มีนาคม 2564
ชาวกระเหรี่ยงหลายพันคน หลบหนีเข้าไทยหลังกองทัพประกาศปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ที่สนับสนุนผู้ประท้วงรัฐบาล
1 เมษายน 2564
“ออง ซาน ซูจี” ถูกตั้งข้อหากระทำความผิดภายใต้กฎหมายความลับทางการ
24 เมษายน 2564
Min Aung Hlaing เดินทางไปจาการ์ตาเพื่อประชุมสุดยอดกับผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธลงนามในแผนห้าจุดเพื่อยุติความรุนแรงและหาทางแก้ไขวิกฤตทางการเมือง
24 พ.ค 2564
“ออง ซาน ซูจี” ปรากฏตัวในศาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลของเธอถูกโค่นล้ม
1 สิงหาคม 2564
“มิน ออง หล่าย” แต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาบริหารของกองทัพบก เขาย้ำคำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งภายในปี 2023
16 ตุลาคม 2564
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กีดกัน Min Aung Hlaing จากการประชุมสุดยอดของพวกเขา โดยกล่าวว่ากองทัพล้มเหลวในการดำเนินการตามแผนเพื่อยุติวิกฤตการณ์
16 พฤศจิกายน 2564
เมียนมาร์ตั้งข้อหาอองซานซูจีและอีก 15 คนในข้อหา “ฉ้อโกงการเลือกตั้งและการกระทำที่ผิดกฎหมาย” ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2563
7 มกราคม 2565
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา เป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่เยือนเมียนมาร์
จากเหตุการณ์รัฐประหารในวันนั้น ยังคงมีความรุนแรงอย่างเนื่องภาพความรุนแรงมีให้เห็นเป็นระยะ ทั้งการสู้รบระหว่างทหารกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กับ ทหารเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งมีการเสริมกำลังพร้อมอาวุธหนักเข้าพื้นที่ต่อเนื่อง ทำให้ชาวเมียนหลายพันคนต้องอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาฝั่งไทย
ขณะอดีตผู้นำประเทศอย่าง “ออง ซาน ซูจี” ยังถูกแจ้งข้อหาและดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องทั้ง ความผิดในข้อหายุยงปลุกปั่นและละเมิดมาตรการควบคุมโควิด-19 ซึ่งถูกสั่งจำคุกเป็นเวลา 4 ปี แต่ลดโทษเหลือ 2 ปี นอกจากนี้รัฐบาลทหารเมียนมายังได้ตั้งข้อหาคอร์รัปชัน ละเมิดกฎหมายความลับของรัฐ รวมถึงกฎหมายด้านโทรคมนาคมจากการครอบครองวิทยุสื่อสารที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีการพิจารณาลงโทษในไม่ช้านี้
แม้ว่าสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะประณาม และเรียกร้องให้คว่ำบาตร หยุดขายอาวุธให้แก่รัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อตอบโต้กองทัพเมียนมา นำโดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ที่ก่อรัฐประหารยึดอำนาจล้มรัฐบาล ยังเรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาฟื้นฟูกระบวนการส่งมอบประชาธิปไตยในประเทศและปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) แต่จนถึงขณะนี้ ข้อมูลจาก Assistance Association for Political Prisoners (สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง-AAPP) จนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกสังหารไปแล้ว 1,503 คน และ 11,838 คนถูกจับกุม ส่วนรายงานผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ต้องหลบหนี หรือย้ายถิ่น ยังไม่มีหน่วยงานสรุป คาดว่าจะมีนับแสนคน