ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับศึกการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 9 หลักสี่ – จตุจักร ในวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 65 ซึ่งมีผู้สมัครที่ขับเคี่ยวกัน นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย , "มาดามหลี" สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ , นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครจากพรรคกล้า , "เพชร" กรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล , นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ ผู้สมัครจากพรรคไทยภักดี
(28 ม.ค.65) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ (ผู้การเต้ม) อดีตผู้สมัครส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาณ์กับเนชั่นออนไลน์ โดยประเมินศึกครั้งนี้ว่าผู้ที่ได้เปรียบคือ นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่มีฐานเสียงเดิมที่มั่นคงเนื่องจากการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุดนายสุรชาติ ได้คะแนนอยู่ที่สามหมื่นกว่าคะแนนทั้งสองครั้ง และมองว่าครั้งนี้ก็จะได้คะแนนจากกลุ่มเดิมด้วยเช่นกัน ส่วนผู้ผู้สมัครหน้าใหม่อย่าง “เพชร - กรุณพล” จากพรรคก้าวไกลอาจแบ่งคะแนนไปได้ไม่มากนัก
และอีกคนหนึ่งที่คิดว่าได้เปรียบคือนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครจากพรรคกล้า ซึ่งนอกจากจะมีฐานเสียงเดิมอยู่แล้ว ยังคิดว่าจะได้คะแนนจากกลุ่มคนที่เคยสนับสนุน “ผู้การแต้ม” ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งเคยได้รับคะแนนเสียงในครั้งนั้น 16,255 คะแนน ซึ่งผู้การแต้มมองว่า ฐานคะแนนเก่าของตนเองจะเฉลี่ยไปให้นายอรรถวิชช์ และพรรคไทยภักดี ตามลำดับ
ขณะที่เจ้าของพื้นที่เก่าอย่างพรรคพลังประชารัฐซึ่งส่ง “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ลงเป็นตัวแทนในครั้งนี้ ผู้การแต้ม มองว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้คะแนนของพรรคพลังประชารัฐจะต่ำลง เนื่องจากกระแสพรรคแผ่วลง และพฤติกรรมของ “นายสิระ เจนจาคะ” ส.ส. ในพื้นที่คนเก่า ซึ่งเดิมคะแนนของนายสิระ คือคะแนนของประชาธิปัตย์ ประกอบกับกระแส ”ลุงตู่” ทำให้คนหันไปเลือก ซึ่ง “ผู้การแต้ม” ระบุว่า หากตนเองลงสมัครครั้งนี้ คะแนนดังกล่าวจะกลับมายังพรรคจะกลับมายังพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน จึงมองว่าคนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์จะหันไปเทคะแนนให้ นายอรรถวิชช์ และ พรรคไทยภักดีมากว่าพลังประชารัฐ
ประกอบกับกระแสความไม่พอใจของผู้ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ที่ในควันหลงจากการเลือกตั้งซ่อมชุมพร และ สงขลา โดยผู้การแต้มระบุว่า “พรรคเรามีมารยาทการเมืองถึงจะเป็นพื้นที่ของนายสิระ เมื่อสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งก็ไม่ส่ง แต่ในศึกเลือกตั้งซ่อมสงขลาชุมพร พรรคพลังประชารัฐกลับส่งโดยไม่มีมารยาททางการเมือง”
งานนี้เรียกได้ว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี โดยเฉพาะ “พลังประชารัฐ” ซึ่งแม้ถูกประเมินว่าอาจเป็นรอง แต่ยังไงก็จะต้องทุ่มสุดตัวเพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้สะท้อนถึงความนิยมของรัฐบาลและอาจประเมินไปถึงการเลือกตั้งในครั้งหน้าด้วย จึงเรียกได้ว่าเป็นศึกที่จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด