วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ศาลแขวงดุสิต ถ.นครไชยศรี ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีแขวงดุสิต เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ "มายด์" แกนนำกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และสมาชิกคณะประชาชนปลดแอก เป็นจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 รวมทั้งประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ลงวันที่ 15 ต.ค.63 เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมข้อ 1 ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง)
กรณีเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 63 "มายด์" ได้เข้าร่วมการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือให้ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลาออกจากการบริหารประเทศ
โดยวันนี้ "มายด์" ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า ระหว่างการนำสืบตนได้ยืนยันในหลักการของประชาชนที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพราะประชาชนทนไม่ไหวซึ่งเป็นสิทธิของประชาชนที่ทำได้ ส่วนศาลจะพิจารณาอย่างไรและผลจะออกมาเป็นอย่างไรอยากให้รอติดตาม
เพราะคดีนี้เป็นคดีแรกที่มีการพิพากษาส่วนของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง และคาดว่าจะส่งผลต่อคดีอื่นๆ ของเพื่อนด้วย คาดว่าผลการตัดสินสามารถออกได้หลายรูปแบบ ทั้งในมุมของการได้รับความยุติธรรมและมุมเกมการเมือง เพราะคดีนี้เป็นคดีทางการเมืองที่ไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ภายศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โดย มายด์ กล่าวว่า ศาลเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร้ายแรงฯที่มีการประกาศออกมาจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อสถานการณ์นั้นฉุกเฉินและร้ายแรงจริงๆ ถึงจะบังคับใช้ได้ และการชุมนุมของประชาชนที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวก็ไม่เข้าข่ายการชุมนุมมั่วสุม เพราะการมั่วสุมต้องเป็นการรวมตัวกันและมีเจตนาที่ไม่ดี แต่การชุมนุมวันนั้นเป็นการชุมนุมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 เป็นการชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถทำได้
"ตนมั่นใจว่าคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานส่วนหนึ่งในการตัดสินคดีอีกหลายคดีที่เกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะการชุมนุมของประชาชนเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและสามารถพึงกระทำได้ เชื่อว่าคำพิพากษาส่งท้ายปีในครั้งนี้ จะเป็นการเติมกำลังใจให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิของตัวเอง เพราะหลังจากนี้ประชาชนจะมาทวงคืนอำนาจของประชาชนเอง