สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ประกาศความร่วมมือระดับโลก ในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ภายในปี 2573
ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน และประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐได้ประกาศเรื่องนี้ในการประชุมสุดยอด COP26 เมื่อวันอังคาร ( 2 ตุลาคม )
ภายใต้แนวคิดริเริ่ม " Global Methane Pledge " มีการตั้งเป้าที่จะจำกัดการปล่อยก๊าซมีเทนที่ 30% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2563
มีเทน เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพมากที่สุดและมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นถึง 1 ใน 3 จากกิจกรรมของมนุษย์
มากกว่า 100 ประเทศได้ร่วมลงนามในแนวคิดริเริ่มนี้ ซึ่งเสนอครั้งแรกโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเมื่อเดือนกันยายน
จุดสนใจหลักในความพยายามควบคุมภาวะโลกร้อนอยู่ที่ก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ ซึ่งปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การผลิตไฟฟ้า และการเคลียร์พื้นที่ป่า
แต่ก็มีการให้ความสนใจกับก๊าซมีเทนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะเป็นหนทางในการซื้อเวลา เพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากกว่าและเกาะติดอยู่เป็นเวลานานกว่ามาก แต่โมเลกุลของมีเทนแต่ละโมเลกุล ก็มีผลต่อภาวะโลกร้อนอย่างมีอานุภาพมากกว่าโมเลกุลก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และในขณะที่เป้าหมายหลักของ COP26 คือการให้ประเทศต่าง ๆ มุ่งมั่นที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ซึ่งหมายความว่าจะไม่เพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ผู้นำทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำว่าพวกเขาจำเป็นต้องลงมือทันที
ฟอน เดอ เลเยน บอกกับที่ประชุมสุดยอด“เราไม่สามารถรอถึงปี 2593 ได้ เราต้องลดการปล่อยมลพิษอย่างรวดเร็ว"
เธอบอกว่าการตัดก๊าซมีเทนออกไป เป็น "หนึ่งในสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อลดภาวะโลกร้อนในระยะสั้น" โดยเธอเรียกมันว่า "ผลไม้ที่ห้อยต่ำที่สุด"
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ย้ำคำพูดของเธอ โดยเรียกมีเทนว่า "หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพมากที่สุดที่มีอยู่"
คำมั่นสัญญานี้ครอบคลุมประเทศที่ปล่อยก๊าซมีเทนเกือบครึ่งหนึ่ง และมี GDP คิดเป็น 70% ของโลก
ประมาณ 40% ของก๊าซมีเทน มาจากแหล่งธรรมชาติเช่นพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของมนุษย์หลากหลายประเภท ตั้งแต่เกษตรกรรม เช่น การผลิตปศุสัตว์ และข้าว ไปจนถึงการทิ้งขยะ
หนึ่งในแหล่งที่มาที่ใหญ่ที่สุดของมีเทนมาจากการผลิต การขนส่ง และการใช้ก๊าซธรรมชาติ และตั้งแต่ปี 2551 การปล่อยก๊าซมีเทนก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับความเฟื่องฟูของกรรมวิธีการผลิตก๊าซในบางส่วนของสหรัฐฯ
ในปี 2562 ระดับของมีเทนในชั้นบรรยากาศ ขยับขึ้นถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าระดับก่อนอุตสาหกรรมประมาณ 2 เท่าครึ่ง
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือมีเธนมีพลัง เมื่อมันทำให้โลกร้อน โดยในช่วงเวลา 100 ปี มันทำให้โลกร้อนขึ้น 28-34 เท่า เมื่อเทียบกับคาร์บอนได ออกไซด์
และในช่วงระยะเวลา 20 ปี มันมีกำลังในส่วนนี้มากกว่า 84 เท่า เมื่อเทียบต่อหน่วยกับคาร์บอนไดออกไซด์
แต่มีคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่าก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศมาก และแต่ละโมเลกุลของมัน ก็สามารถคงอยู่ได้นานหลายร้อยปี