svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สธ.แจงเปิดรับท่องเที่ยวต่างชาติ 1 พ.ย. มีมาตรการรองรับ

12 ตุลาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สธ. แจงเปิดรับท่องเที่ยวต่างชาติ 1 พ.ย. มีมาตรการรองรับ พร้อมเผยพื้นที่ 17 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว มีบางพื้นที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่ำกว่า 50% จึงเตรียมเร่งระดมฉีดให้ครอบคลุม

     วันนี้ (12 ต.ค.) ที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณี การแถลงเปิดประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ซึ่งนิยมมาประเทศไทยช่วงปลายปี เราจึงเปิดการท่องเที่ยวโดยมีมาตรการต่างๆ รองรับ ทั้งการกำหนดประเทศที่จะเดินทางมาต้องอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ มีหลักฐานการฉีดวัคซีน มาตรการในพื้นที่ที่ต้องมีฉีดวัคซีนในเปอร์เซ็นต์ที่สูง

     ซึ่งพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวขณะนี้ ภาพรวมฉีดวัคซีนเข็ม 1 แล้ว 70% สูงสุด คือ กทม. 102.8% เกินฐานทะเบียนประชากร ส่วนหนึ่งเพราะมีประชาชนใน กทม. และปริมณฑลมาฉีดในจุดฉีด กทม., ภูเก็ต 80% สมุทรปราการ 68.8% ส่วนหลายจังหวัดฉีดต่ำกว่า 50% เช่น อุดรธานี 38% หนองคาย 38% เลย 37% แต่ไม่ต้องห่วงกังวล เพราะเตรียมความพร้อมจัดสรรวัคซีน ขอประชาชนพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวติดตามข้อมูลข่าวสารในจังหวัด ติดต่อเรื่องการขึ่้นทะเบียน หรือจองนัดเข้าฉีดวัคซีน เปอร์เซ็นต์จะได้สูงขึ้นรวดเร็วและพร้อมเปิดรับผู้เดินทางท่องเที่ยวเข้ามา

     “ไม่ใช่แค่พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวที่ภาพรวมให้ฉีดได้สูง แต่กลุ่มที่เสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต อยากให้ฉีดถึง 80% เช่นกัน ซึ่งภาพรวมอยู่ที่ 72% แต่บางพื้นที่ก็อยู่ที่ 50% ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากประกาศนโยบายวันเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ประชาชนคงสนใจมาร่วมฉีดวัคซีนกันเยอะ ซึ่งสามารถเร่งรัดการฉีดให้ไปถึงตามเป้าหมายได้” นพ.เฉวตสรร กล่าว

นพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค
 

     มีรายงานว่า พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัด มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิดเรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ กทม. 102.8%, ภูเก็ต 80.1%, ชลบุรี 71.7%, สมุทรปราการ 68.8%, พังงา 57.5%, ระนอง 56.1%, เพชรบุรี 54%, ระยอง 51.7%, ประจวบคีรีขันธ์ 49.3%, บุรีรัมย์ 49.1%, ตราด 45.6%, เชียงใหม่ 45.3%, สุราษฎร์ธานี 43%, กระบี่ 41.9%, หนองคาย 38.8%, อุดรธานี 38.1% และเลย 37.3%

     นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนใน 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ประชาชนทั่วไปฉีด 1.5 ล้านคน จากฐานประชากร 3.5 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 42.4 ส่วนกลุ่ม 60 ปีขึ้นไป 260,739 คนคิดเป็น ร้อยละ 58 กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว 143,784 คนคิดเป็น ร้อยละ 51.2 โดยจะลดหลั่นตามพื้นที่ โดยช่วงนี้ได้รับวัคซีนเพิ่มจำนวนมาก

แผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. 64
 

     ทั้งนี้ นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 รับนโยบายจาก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. เพื่อเร่งรัดการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง ระบบเข้าถึงประชาชนอย่างกว้างขวางรวดเร็วให้ได้เป้าหมาย ร้อยละ 70 ของประชากร คาดว่าจะทำได้ปลายเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ภาคใต้ตอนล่างที่มีระบาดสายพันธุ์เบต้า แอลฟา และเดลต้า จึงมีความจำเป็นต้องใช้วัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเราก็ได้จัดส่งไปแล้ว

     นอกจากนี้ สูตรฉีดไขว้แอสตร้าฯ ตามด้วยไฟเซอร์ รอผ่านมติศบค.ซึ่งจะประกาศเป็นทางการ ซึ่งการพิจารณาเป็นไปตามหลักวิชาการ ความเหมาะสมในการบริหารจัดการให้เกิดภูมิคุ้มกัน และให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาจะกำหนดเป็นสูตรหลักสูตรหนึ่ง และสูตรที่สามารถใช้ได้กรณีมีความจำเป็น เนื่องจากประด็นทางสุขภาพ และเงื่อนไขทางปฏิบัติเช่นประเทศที่จะเดินทาง ก็อาจจะขยายได้

     กรณีพื้นที่ภาคใต้ซึ่งจัดส่งไฟเซอร์ลงไป ก็จะใช้ฉีดเป็นไฟเซอร์ 2 เข็ม เพื่อรองรับสายพันธุ์ที่ระบาดด้วย หากเป็นแอสตร้าฯ ตามด้วยไฟเซอร์ทางวิชาการก็ทำได้ ในทางปฏิบัติคงมีชี้แจงลงไปในพื้นที่ อย่างไรก็ตามขอให้มั่นใจในทุกสูตรที่สามารถใช้ได้ เพราะไม่ควรรอ เพราะสถานการณ์บางที การรออาจจะเกิดสานพันธุ์ที่แตกต่างจนมีความรุนแรง และอาจจะเสียประโยชน์ได้

     การฉีดนักเรียนที่ผ่านมมา ในระบบที่รายงานเข้ามายังไม่มีอะไรน่ากังวล ระบบรายงานอาการไม่พึงประสงค์จะต้องตรวจสอบเก็บข้อมูลในพื้นที่ บางทีไม่ได้เร็ววันต่อวัน ทยอยมา เท่าที่ฉีดมายังไม่มีข้อกังวล ส่วนเข็ม 2 ในกลุ่มนักเรียนชายนั้น คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนจะประชุมน่าจะจะมีข้อตัดสินวันที่ 20 ต.ค.นี้ โดยจะพิจารณาข้อมูลที่รวบรวบการฉีดเข็ม 1 ในเด็กชาย เป็นข้อสงสัยสอบถามมา อย่างไรข้อสรุปต้องออกมาก่อนวันนัดฉีดเข็ม 2 แน่นอน
การฉีดวัคซีนโควิดให้นักเรียน

logoline