แม้ครบกำหนดชำระดอกเบี้ยพันธบัตรมูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน แต่ "China Evergrande" หรือที่คนจีนรู้จักในชื่อ "เหิงต้า" ก็ยังคงนิ่งเฉย ย่อมหมายถึงว่ากำลังเข้าสู่ระยะเวลาผ่อนผันอีก 30 วัน ก่อนเข้าสู่การผิดนัดชำระอย่างแท้จริง ซึ่งรัฐบาลก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะ "ไม่อุ้ม" และ "ปล่อยล้มเป็นตัวอย่าง" และนับเป็นเคสศึกษาสำหรับคนจีน ที่หลงละเมอไปกับคำป้อยอที่ว่า บ้านเมืองจีนจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ อีกอย่างน้อย 20 ปี เพราะราคาบ้านเคยบูมสุดๆ 2 ครั้ง เมื่อปี 2551 กับปี 2558 แม้ธุรกิจอสังหาฯ จะได้กำไรจากการขายบ้านประมาณ 11.2% ของการขายทั้งปีที่ดูไม่มากนัก แต่ที่จริงพวกเขายังเก็งกำไรด้วยการเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน หลังจากนั้นก็เอาเงินที่ได้ไปไล่ซื้อที่ดินที่รัฐบาลเปิดประมูลขายมาเก็บเอาไว้ ต่อให้ไม่ได้ขายออกไปราคาก็ไม่ตกและมีแต่จะเพิ่มขึ้น
เมื่อสะสมที่ดินแล้วก็เอาไปขายฝากที่ธนาคารเพื่อนำเงินออกมาเพื่อนำไปผุดโครงการขึ้นมาอีก ยิ่งขายได้มากก็ยิ่งได้กำไรมาก แต่ก็ยังแจ้งต่อรัฐว่าได้กำไร 11.2% แต่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ เริ่มมีกลิ่นไม่ค่อยดี และรัฐบาลก็เริ่มทยอยออกมาตรการมาควบคุมราคาบ้าน และเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่น มาตรการควบคุมทางการเงิน ด้วยการจำกัดการระดมทุน และเข้าตรวจสอบความโปร่งใสกับสภาพคล่องของบริษัท ควบคุมการปล่อยกู้เงินจากธนาคารให้กับเจ้าของโครงการ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยปล่อยกู้ให้กับคนที่จะซื้อบ้าน ออกมาตรการลดการแบ่งขายที่ดิน จำกัดการประมูลซื้อที่ดินโดยเอกชน และให้เปิดเผยมากกว่าเดิม ใช้มาตรการเข้มข้นในการโอนบ้าน สนับสนุนการเช่าบ้านในตัวเมืองมากขึ้น ชะลอความต้องการซื้อของตลาด เพิ่มข้อจำกัดสิทธิไม่ให้คู่สมรสหย่ากันหลอกๆ เพื่อขยายสิทธิซื้อบ้าน เพิ่มความยากในการได้มาของสิทธิในการซื้อบ้าน และขึ้นภาษีบ้านและที่ดินในบางเมือง
พอมาตรการเหล่านี้ออกมาได้ส่งผลให้โครงการก่อสร้างชะลอตัวลงทันที หลังรู้สึกว่าประชาชนเริ่มปรับตัวไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ตอบสนองคำเตือนจากรัฐบาลในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ แต่ยังมีหลายบริษัทที่ปรับตัวไม่ทันจนเกิดปัญหาการเงินอย่างหนัก ต้องประกาศขายสินทรัพย์เพื่อใช้หนี้ จนกระทั่งถึงคิวของ Evergrande ที่คิดเข้าข้างตัวเองว่ามีขนาดใหญ่ จนรัฐบาลไม่สามารถปล่อยให้ล้มได้ หรือไม่ก็อาจจะทำอย่างสหรัฐฯ ที่แจกเงินพยุงเศรษฐกิจในช่วง โควิด-19 และอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อการซื้อขายชะลอตัวลง และผ่อนปรนการขายบ้านมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับทำตรงข้ามหมด ไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบการแจกเงิน แต่ยังเพิ่มมาตรการรัดกุมการซื้อขายบ้านขึ้นไปอีก ทำให้ Evergrande หาเงินไม่ทัน กลายบริษัทที่มีสินหมายเลข 1 ของโลก ทั้งยังเป็นระเบิดเวลาที่กำลังสั่นสะเทือนวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่คนในวงการต่างรู้ดีว่า "ยุคแห่งการปั่นราคา" ได้มาถึงจุดจบแล้ว และคาดว่าแค่การขายสินทรัพย์เพื่อใช้หนี้อาจจะยังไม่พอ รัฐบาลอาจต้องเข้าไปจัดการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร จัดระบบการเงิน/การระดมทุน และที่แน่ๆ คงต้องเตรียมพร้อมว่า จะเอาอะไรมารองรับการ "ล้มของยักษ์" ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!