รายงานพบว่า โลกมีจำนวนวันที่วัดอุณหภูมิได้เกิน 50 องศาเซลเซียสราว 14 วันต่อปีโดยเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี 2523-2552 โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางและอ่าวเปอร์เซีย แต่จำนวนวันเพิ่มขึ้นเป็น 26 วันต่อปีระหว่างปี 2553-2562 และในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวนวันที่วัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 45 องศาเซลเซียสขึ้นไปเพิ่มขึ้นอีกสองสัปดาห์ต่อปี
ดร. ฟรีดเดริก ออตโต ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ระบุว่า จำนวนวันที่เพิ่มขึ้น 100% เป็นผลมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนว่า จำนวนวันที่มีอุณหภูมิเกิน 50 องศาเซลเซียสจะเกิดขึ้นได้ในอีกหลายประเทศ หากยังไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล
รายงานของบีบีซี ระบุด้วยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นสูงสุดอีก 0.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงปี 2523-2552 โดยภูมิภาคยุโรปตะวันออก ภูมิภาคแอฟริกาใต้ และประเทศบราซิล มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงสุดมากกว่า 1 องศาเซลเซียส ขณะที่ในแถบอาร์คติก และภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียส
นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลกที่เข้าร่วมการประชุมการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติที่เมืองกลาสโกว์ในเดือนพ.ย.ออกมาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาโลกร้อน โดยในการประชุมคาดว่า แต่ละชาติจะกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก
ก่อนหน้านี้รายงานของมหาวิทยาลัยรัตเจอร์สในสหรัฐฯที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้วระบุว่า ประชากรราว 1,200 ล้านคนทั่วโลกจะเผชิญสภาพอากาศร้อนจัดภายในปี 2100 หากระดับของอุณภูมิโลกยังสูงขึ้นในอัตรานี้ต่อไป ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าจำนวนผู้ได้รับผลกระทบในปัจจุบันอย่างน้อย 4 เท่า