DSI Station น่าน ได้ร่วมประชุมกับนายนิพันธ์ บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.64 โดยเป็นการนำผู้ร้องทุกข์ ประกอบด้วย นายสมบูรณ์ เสมอใจ นายกอบต.ศิลาเพชร ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว จังหวัดน่าน ประธานขับเคลื่อนการแก้ไขป่าต้นน้ำย่าง และแกนนำภาคประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง และในจังหวัดน่าน อาทิ สำนักสิ่งแวดล้อม ผอ.อุทยานแห่งชาติ หัวหน้าส่วนป่าไม้จังหวัดน่าน เจ้าหน้าที่โครงการหลวง นายอำเภอเมืองน่าน และนายอำเภอปัว โดยนายสมบูรณ์ ได้ทวงถามส่วนราชการว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องป่าต้นน้ำย่างไปถึงไหนแล้ว
ทั้งนี้ ฝ่ายราชการ ได้ชี้แจงถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นว่าได้มีการดำเนินงานต่อเนื่อง และหาแนวทางแก้ไขปัญหาบูรณาการร่วมกันทุกฝ่ายเช่น สำนักอุทยาน สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักงานป่าไม้จังหวัด โครงการหลวงและนายอำเภอปัว
พร้อมกันนี้ ให้หน่วยงานราชการรายงานความคืบหน้าถึง DSI Station น่าน เป็นระยะ เพื่อติดตามผลการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านตำบลศิลาเพชร และตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลป่าคา โดยมอบหมายให้นายอำเภอปัว เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการแก้ไขด่านหน้า
โดยปัญหาทั้งหมดเกิดสมัย นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน แต่ก็ไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนกระทั่งมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้ว่าฯ มา 3 คน ถึงได้มีการกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงไปดี เพราะว่าปีงบประมาณ 2565 จะมีผลัดเปลี่ยนตำแหน่งการโยกย้ายระดับผู้ว่าราชการจังหวัด อีกครั้ง
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก ต้นกำเนิดแม่น้ำน่าน เป็นการไหลมารวมกันของลำน้ำสาขาหลายสายบนภูเขาสูง 1 ในนั้นคือ "ลำน้ำย่าง" จากภูเขาในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ผาแดง
"ลำน้ำย่าง" ยังเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในตำบลศิลาเพชร ตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลป่าคา นับ 10 หมู่บ้าน มีชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากลำน้ำย่างหลายพันคน
เมื่อปี 2554 กรมป่าไม้ มีโครงการปลูกป่าทดแทนที่บริเวณใกล้ๆ บ้านปางยาง ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน แต่หลังจากสิ้นสุดโครงการมีชาวบ้านปางยาง จำนวนหนึ่งขึ้นไปยึดพื้นที่แผ้วถางป่าเพื่อปลูกข้าวโพด และใช้สารเคมีจำนวนมาก เกิดสารตกค้าง และชะล้างลงสู่ลำน้ำย่าง
ความพยายามที่จะตกลงเพื่อการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวบ้านตำบลศิลาเพชร และชาวบ้านปางยาง ตำบลภูคา ไม่เป็นผลจึงร้องให้ส่วนราชการเข้ามาช่วยเป็นคนกลางและเจรจาตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคาผาแดง กว่า 300 ไร่
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ที่ปรึกษา DSI Station น่าน บอกว่าเรื่องนี้ชาวบ้านซึ่งรวมตัวเป็นเครือข่ายภาคประชาชน จะต้องไปติดตามสิ่งที่เคยยื่นต่อหน่วยงานรัฐตั้งแต่ปี 2555 ส่วนดีเอสไอ ที่เคยมีความเห็นว่าไม่เป็นคดีพิเศษ ก็จะต้องสอบถามเหตุผลว่าทำไม ไม่เป็นคดีพิเศษ เพราะถ้าปล่อยไปปัญหาในอนาคตจะมีเรื่องท่องเที่ยวซ้อนเข้ามากลายเป็นภูทับเบิก กลายเป็นเขาค้อ ซึ่งยากที่จะแก้ไข
ขณะที่ภาคประชาชนรวมตัวกันปกป้องทรัพยากรของชาติอย่างเข้มแข็ง แต่การปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ เท่ากับเป็นบ่อเกิดการทุจริตต่อหน้าที่ ภาคประชาชนจะต้องช่วยกันตรวจสอบ ไม่ทนนิ่งเฉยอีกต่อไป