ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เดินทางมาที่ฐานทัพอากาศโดเวอร์เมื่อวันอาทิตย์ (29 ส.ค.) เพื่อร่วมในพิธีรับศพทหารสหรัฐที่เสียชีวิตจากการโจมตีโดยมือระเบิดพลีชีพระหว่างการอพยพพลเรือนออกจากอัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
การก่อการร้ายด้วยระเบิดพลีชีพของกลุ่มไอเอสเมื่อวันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) ทำให้ทหารอเมริกันที่ดูแลสนามบินกรุงคาบูล 13 นาย และชาวอัฟกันอีกเป็นจำนวนมากเสียชีวิต ท่ามกลางความพยายามในการอพยพคนทางอากาศ ที่นำออกมาได้แล้วประมาณ 114,400 คนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่ากองกำลังอเมริกันในอัฟกานิสถาน ได้โจมตีทางทหารในกรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน โดยมีเป้าหมายที่อาจจะเป็นระเบิดคาร์บอมบ์พลีชีพ ที่มีเป้าหมายโจมตีสนามบินกรุงคาบูลอีกระลอก
ในส่วนของพิธีรับศพเมื่อวาน หลังจากที่มาถึงฐานทัพทหารในรัฐเดลาแวร์ ไบเดนและจิลล์ สุภาพสตรีหมายเลข 1 ได้พบกับครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตจากการถูกโจมตี
งานนี้ทั้งสองได้ร่วมชมพิธีลำเลียงโลงศพ 11 โลง ที่ถูกคลุมด้วยธงชาติที่เดินทางมาถึง ลงจากเครื่องบินลำเลียง เพื่อนำไปขึ้นรถเพื่อนำไปประกอบพิธีต่อไป งานนี้ดำเนินไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ของสมาชิกครอบครัวทหารที่เสียชีวิต ขณะที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลม และถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาล หลังจากนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ส่วนอีก 2 ศพที่เหลือ ทางครอบครัวขอให้มีพิธีลำเลียงศพ โดยที่ไม่มีสื่อมวลชนเข้าทำข่าว
ทหารเหล่านี้อายุระหว่าง 20 - 31 ปี พวกเขามาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และแมสซาชูเส็ต และรัฐอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างนั้น ขณะที่ไบเดนก็เป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ในฐานะจอมทัพ ที่ต้องมาเข้าร่วมในพิธีรับศพทหารจากอัฟกานิสถาน
การโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งอ้างว่าดำเนินการโดยกลุ่ม ISIS-K ซึ่งอยู่ในเครือของกลุ่มไอเอส ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดกับทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานในรอบทศวรรษ
เหตุระเบิดเกิดขึ้นที่นอกประตูสนามบิน ซึ่งผู้คนหลายพันคนมารวมตัวกันเพื่อพยายามเดินทางออกจากประเทศนับตั้งแต่ที่กลุ่มตาลีบันกลับคืนสู่อำนาจเมื่อวันที่ 15 ส.ค.
ไบเดน จากพรรคเดโมแครตต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายนิติบัญญัติของพรรครีพับลิกัน ซึ่งกล่าวหาว่ารัฐบาลของเขาดำเนินการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างผิดพลาด
การรุกคืบอย่างรวดเร็วของตาลีบันในอัฟกานิสถาน ในขณะที่สหรัฐและพันธมิตรกำลังถอนทหาร ประกอบกับความวุ่นวายอย่างหนักที่สนามบิน ทำให้ไบเดนต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดของเขาในฐานะประธานาธิบดี