จากกระแสดังกล่าวจึงทำให้คนส่วนใหญ่เกิดข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วงบกลางคืออะไร ? มีไว้ทำไม ? ใครสามารถใช้ ? และเอาไปใช้อย่างไรได้บ้าง ? และที่สำคัญการตัดงบประมาณปี 65 จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทเข้างบกลางเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์คือการแก้ปัญหาโควิดจริงหรือไม่ ?
สำหรับประเทศไทยมีการจัดทำงบประมาณในรูปแบบการจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนกันยายนของปีถัดไป โดยการจัดทำงบประมาณในแต่ละปีหน่วยรับงบประมาณจะต้องจัดทำคำของบประมาณเสนอไปยังสำนักงบประมาณเพื่อจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และคณะรัฐมนตรีจะเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามลำดับ
แต่สำหรับงบกลางหรือ “งบประมาณรายจ่ายงบกลาง” เป็นงบประมาณประเภทหนึ่งซึ่งถูกตั้งขึ้นแยกต่างหากจากงบประมาณรายจ่ายปกติเนื่องจากมีเหตุผลความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่ควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง โดยการตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางดังกล่าวได้แบ่งย่อยเป็นหลายรายการตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่าย “งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ เยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง หรือภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ
ซึ่งกมธ.เสียงข้างมากและพรรคเพื่อไทยได้หยิบยก “ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายกลางรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563” ตามพระราชบัญญัติงบประมาณ มาอ้างอิงเพื่อยืนยันว่างบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทจะไม่สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้เลยนอกจากการแก้ปัญหาโควิด ซึ่งในเนื้อหาระบุว่า การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้กระทำได้ในกรณีที่เป็นรายจ่ายดังต่อไปนี้
1.เพื่อเฝ้าระวังควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2.เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
3.เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ได้รัยผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
4.เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5. หน่วยรับงบประมาณจะขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายกลางในกรณีนี้ได้เฉพาะหน่วยงานที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่สามารถนำงบประมาณของหน่วยงานนั้นมาใช้จ่ายได้ หรือนำมาจ่ายไม่เพียงพอ เว้นแต่คณะกรรมการกลั่นกรองตามพระราชกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พิจารณาเห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและคณะรัฐมนตรีมีมิติเห็นชอบ
ซึ่งขั้นตอนในการขอรับจัดสรรงบประมาณหน่วยงานจะต้องชี้แจงวัตถุประสงค์ แผนการใช้จ่ายเป็นรายเดือน อย่างละเอียด โดยสำนักงบประมาณมีอำนาจในการอนุมัติครั้งละวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ,วงเงินเกิน 10 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 100 ล้านบาทสำนักงบประมาณจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและในกรณีที่วงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาทสำนักงบประมาณจะเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วสำนักงบประมาณจะให้หน่วยรับงบนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเข้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ซึ่งเมื่อได้รับงบประมาณแล้วจะไม่สามารถโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายการได้
นอกจากนี้ยังมีการระบุว่าการบริหารงบประมาณรายจ่ายกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.2562
อย่างไรก็ตามหากยึดถือเอาข้อปฏิบัติตาม “ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายกลางรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563” งบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทก็จะถูกนำไปใช้แก้ปัญหาโควิดโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นการซื้ออาวุธหรืออย่างอื่นได้ แต่หากการซิกแซกหรือใช้ช่องว่างอื่นทางกฎหมายทำให้จุดประสงค์ในการใช้งบประมาณนี้ต่างออกไป คงไม่เพียงแต่เสียงตำหนิจากพรรคก้าวไกล แต่คงมีเสียงก่นด่าจากประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยากจากวิกฤติโควิดในขณะนี้เป็นแน่