ภัยสุขภาพที่มีจุดเริ่มต้นมาจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะมักค่อยๆ ก่อตัวและสะสมทีละนิด ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่าจะรู้ตัวหรือแสดงอาการผิดปกติออกมา โดยหนึ่งในภาวะที่อันตรายแต่หลายคนไม่รู้คือเรื่องของ "ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)"
ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat คือการที่ร่างกายรับสารอาหารประเภทไขมัน รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด สุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็น “ไขมัน” โดยไขมันในช่องท้องจะสะสมอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนัง สะสมอยู่รอบอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ หรือลำไส้เล็ก ซึ่งตับอาจเปลี่ยนไขมันนี้เป็นคอเลสเตอรอล รวมทั้งอาจดูดซึมเข้ากระแสเลือดและสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดตีบ ไขมันช่องท้องก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ
สำหรับไขมันที่สะสมบริเวณระหว่างอวัยวะในช่องท้องกับกล้ามเนื้อท้อง เกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการดำเนินชีวิต พฤติกรรมการบริโภค หรือแม้แต่ส่วนของกรรมพันธุ์ โดยไขมันที่เกิดการสะสมจนเกินพอดีเหล่านี้ก็นับเป็นหนึ่งในอันตรายร้ายแรงที่ก่อให้เกิดการอุดตันของทั้งเลือด หรือออกซิเจนที่จะไปหล่อเลี้ยงยังเซลล์ หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
การวัดไขมันในช่องท้องมีวิธี ในเบื้องต้นเราสามารถตรวจสอบปริมาณไขมันในช่องท้องของเราเองได้ด้วยวิธี Waist-to-Hip Ratio Measurement ซึ่งเป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ โดยการคำนวณ Waist-to-Hip Ratio เป็นการคำนวณอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพกเพื่อดูความเสี่ยงของไขมันในช่องท้อง มีวิธีการดังนี้
เมื่อได้เลขทศนิยม 2 หลักแล้ว ให้ดูค่าความเสี่ยงตามนี้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง นอกจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไปแล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย และยังพบว่าบางครั้งคนที่ทานน้อยแล้วก็ยังมีโอกาสพบภาวะไขมันในช่องท้องได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะหมดไปเพียงแค่เราหันมาดูแลสุขภาพ โดยมีเคล็ดลับลดไขมันด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
1 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลและไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ และควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาที
ทั้งนี้ ควรเพิ่มระดับความหนักในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้มากขึ้น โดยเพิ่มจำนวนวันหรือเวลาในการออกกำลังกาย หรือใช้รูปแบบการเล่นเป็นจังหวะ (Interval Training) ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายหนักเบาสลับกัน เช่น เดิน 5 นาที สลับวิ่งเบาๆ 5 นาที วิธีนี้จะทำให้ลดไขมันและเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น รวมถึงการกระโดดเชือก เต้นแอโรบิก ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
2 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง
นอกจากจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอแล้ว ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (weight training) ซึ่งจะเป็นการออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อที่อาศัยแรงของน้ำหนักจากอุปกรณ์ต่างๆ ในการเพิ่มแรงต้านทาน (หรืออาจจะเป็นน้ำหนักของร่างกายตัวเอง) เมื่อเพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการปรับตัว และแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานกับแรง หรือน้ำหนักต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยควรจะเล่นให้ได้ทุกๆ ส่วน ไม่เน้นไปที่ส่วนใดส่วนเดียว ไม่ว่าจะเป็น แขน ไหล่ ขา ก้น หน้าท้อง โดยเล่นสลับกันไปในแต่ละวัน เพราะการที่เรามีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น จะเป็นการช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้เราได้อีกทางหนึ่ง
โดยฝึกกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยบริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งน้ำหนักที่ใช้ควรให้สามารถยกได้ประมาณ 12-15 ครั้ง
3 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยการควบคุมอาหารแบบวิธี IF - Intermittent Fasting
การทำ IF หรือการลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting เป็นการลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา (Feeding) และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลา (Fasting) ซึ่งช่วงเวลาที่นิยมที่สุดก็คือ การกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สูตร IF 16/8 เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ในการทำ IF มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ 3.6-14% ช่วยลดไขมันในช่องท้องและไขมันในเลือดได้ดี โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำและสมองดีขึ้นได้ด้วย แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน
4 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยปัจจัยสำคัญอื่นๆ
เริ่มที่การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอนหลับให้สนิท งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการศึกษาประเด็นดังกล่าว พบว่าผู้ที่นอนหลับวันละ 6-7 ชั่วโมง มีระดับไขมันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้ที่นอน 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น อีกทั้งยังมีระดับไขมันในช่องท้องน้อยกว่าผู้ที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรควบคุมความเครียด หลีกเลี่ยงบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์