เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอเนียทางตอนใต้ของสหรัฐฯ เมื่อฮีธเทอร์ ไฮนส์ หญิงสาววัย 24 ปี เพิ่งสังเกตเห็นว่ากล้องรักษาความปลอดภัย 7 ตัวที่เธอ เป็นเจ้าของจากแบรนด์ "Wyze" และทำการติดตั้งไว้รอบบ้านรวมถึงห้องนอน กลับหยุดทำงานในช่วงเวลาสั้นๆ
48 ชั่วโมงต่อมา เธอได้รับอีเมลจากบริษัท ระบุว่ามีลูกค้าหลายพันรายที่ทำการเปิดแอปของตนแต่กลับได้เห็นรูปถ่ายและวิดีโอจากภายในบ้านของผู้อื่น ซึ่งทางบริษัทให้เหตุผลว่าเป็นปัญหาในส่วนการจัดเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยบุคคลที่สาม ซึ่งทำให้ระบบมีความผิดปกติในช่วงเวลาที่กล้องกลับมาออนไลน์อีกครั้ง
ไฮนส์ เป็นหนึ่งใน 13,000 บัญชีของกล้องวงจรปิด ที่ถูกที่ถูกแฮ็ก ซึ่งในขณะนั้นก็มีผู้ใช้ประมาณ 1,500 ราย ที่ได้เห็บภาพจากกล้องวงจรปิดของบ้านหลังอื่น
เธอระบุว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว เพราะโดยปกติแล้วเธอจะใช้กล้องวงจรปิดในบ้าน เพื่อคอยติดตามดูแมวที่กำลังป่วยในตอนที่เธอไม่อยู่ และเธอกลัวว่าวันหนึ่งเธออาจจะตื่นขึ้นมาพบว่าภาพจากกล้องวงจรปิดในบ้านของตัวเองได้ถูกเผยแพร่เป็นภาพหลุดไปแล้ว
ปัญหาเกี่ยวกับระบบเฝ้าระวัง เช่น กล้องวงจรปิดและกริ่งประตูยังคงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว โดยมีการเตือนผู้ที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์สมาร์ทโฮมว่าอุปกรณ์บางอย่างที่มีจุดประสงค์เพื่อทำให้บ้านปลอดภัยขึ้นหรือสะดวกยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงด้วย
โดยพวกแฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ไม่ปลอดภัย เพื่อเข้าถึงเครือข่ายภายในบ้านและอุปกรณ์อื่นๆ ตั้งแต่โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ทีวี ไปจนถึงลำโพง ไฟ หรือแม้แต่รีโมทเปิดประตูโรงรถ ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถแฮกเข้ามาควบคุมอุปกรณ์บางชิ้น หรือเจาะผ่านอุปกรณ์เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ
แน่นอนว่าการต่อกรกับมิจฉาชีพเหล่านี้เป็นเรื่องที่แม้แต่รัฐบาลสหรัฐฯก็จนปัญญา ส่วนผู้บริโภคเองก็ควรป้องกันตัวเองให้ถึงที่สุด ด้วยการเลือกสินค้าเทคโนโลยีจากแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ หาข้อมูลก่อนซื้ออยู่เสมอ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ใช้อนุญาตให้อุปกรณ์ทำงานบนเครือข่ายที่มีเราเตอร์ Wi-Fi ที่ปลอดภัยเท่านั้น